4th Charm : แมวเป็นเหตุ
กาแฟดำในแก้วหายร้อนแล้ว แต่คนที่สั่งกาแฟยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนิ้วที่พรมลงบนแป้นคีย์บอร์ดแต่อย่างใดดวงตาสีดำยังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวอักษรในหน้าโปรแกรมพิมพ์งานอย่างไม่วางตา แม้ว่าร้านกาแฟร้านนี้จะค่อนข้างพลุกพล่าน เพราะว่าอยู่ไม่ห่างจากรั้วมหาวิทยาลัยมากนัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียสมาธิแต่อย่างใด
หลังจากที่พิรัณออกมาจากห้องพักของอาจารย์ประจำวิชาเทวะตำนานแล้ว เขาก็ตัดสินใจหาร้านกาแฟแถวนี้นั่งเขียนบทความให้เสร็จตอนที่ถ่านยังร้อน ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจในเรื่องตำนานเทพเจ้ากรีกมากนัก แต่ก็ยอมรับเลยว่าหลังจากที่ฟังเลกเชอร์ขนาดย่อจากคน ๆ นั้นแล้ว มันทำให้เขาเห็นภาพของบทความขึ้นมา
แต่ไม่ทันได้ลงมือเขียน ก็เห็นเมล์ส่งงานจากนักข่าวรุ่นน้องในกล่องข้อความเข้าของอีเมล์ ทำให้เขาต้องวางของตัวเองลงก่อน และหันไปตรวจงานแทน ดังนั้นกว่าจะได้เริ่มงานของตัวเอง และกว่าจะเสร็จ ดวงอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้า และท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มแล้ว
เคอร์เซอร์ที่หน้าจอโปรแกรมหยุดนิ่งขณะที่สายตาอ่านบทความที่เขียนเสร็จแล้วเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นมันก็ถูกส่งให้บก.อรุณทางอีเมล์
พิรัณถอนหายใจยาวขณะนวดระหว่างคิ้วของตัวเอง รู้สึกมึนหัวเล็กน้อยเพราะใช้สายตาเป็นเวลานานเกินไป แต่ในขณะเดียวกันความคิดก็ยังไม่ได้หยุดพัก ที่ผ่านมาเขาพอจะคาดเดาแรงจูงใจของอาชญากรได้ เพราะหลาย ๆ ครั้งเขาต้องทำความเข้าใจรูปคดีก่อนที่จะเขียนข่าวออกมาจนทำให้วิเคราะห์สภาพจิตใจของคนทำผิดเหล่านั้นได้
แต่กับครั้งนี้ไม่ใช่เลย
ผู้ตายแต่ละคนไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลยสักนิดเดียว แล้วฆาตกรมีแรงจูงใจอะไรถึงฆ่าพวกเขา?
คนเราก็ฆ่ากันได้ง่ายดายเหลือเกิน นักข่าวหนุ่มทอดถอนใจก่อนจะปิดแล็ปท็อป และเก็บมันพร้อมกับสมุดจดเข้ากระเป๋าสะพายหลัง
“ตำรวจหรอ?” เสียงกระซิบกระซาบของพนักงานร้านกาแฟที่ดังขึ้นทำให้พิรัณที่กำลังเก็บของชะงัก
“ใช่ เมื่อกี้ฉันออกไปทิ้งขยะหลังร้านเลยเห็นว่าที่ซอยถัดไปน่ะคนมุงให้เพียบ ตำรวจก็กันคนออกกันให้วุ่นเลยล่ะ” พนักงานหญิงอีกคนพยักหน้าอย่างตื่น ๆ “ฉันล่ะกลัวว่าจะเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่น่ะสิ”
ทั้งสองหน้าซีดทันที ส่วนพิรัณนั้นก็สะพายกระเป๋าขึ้นหลัง และรีบก้าวออกจากร้านกาแฟทันที
สัญชาติญาณนักข่าวทำให้เขาไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ ไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นคดีทั่วไปหรือคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้ก็ตาม
ซอยที่ว่านั้นหาไม่อยากเลยแม้แต่น้อย เพราะมีไทยมุงอยู่ปากซอยอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงไม่รอช้า รีบสาวเท้าไปทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว
พิรัณพยายามแทรกตัวผ่านกลุ่มคนที่มุงกันอย่างหนาแน่นขณะที่ชะเง้อมองหานายตำรวจที่เขาอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาบ้าง ตอนนั้นเองที่เขาเห็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบสีดำกำลังสอบถามหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ถูกแยกตัวออกมา เขาจึงเบียดตัวไปทางนั้น และทำทีเป็นกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
ปกติแล้วร้อยเอกอนุศรไม่ปล่อยให้เขาเข้าฟังการสอบปากคำเลย ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้รู้ข้อมูลดิบแบบสด ๆ
“หมายความว่าคุณเจอเขาข้างจุดทิ้งขยะหรอครับ?” นั่นคือสิ่งที่พิรัณได้ยินเป็นอย่างแรกจากตำรวจหนุ่มผู้สอบปากคำ
“ช…ใช่ค่ะ” หญิงสาววัยกลางคนพยักหน้ารับอย่างตื่น ๆ “ตอนประมาณ 2 ทุ่ม ฉันเอาขยะออกมา…มาทิ้ง แล้วก็เห็น…เห็นเขานอนอยู่ตรงข้างถังขยะ ตอนแรกฉัน…ฉันนึกว่าเขาเมา เพราะฉันเห็นผู้ชายคนนี้เมากลับไปบ้านบ่อย ๆ น่ะค่ะ แต่…แต่ตอนนั้นที่มีรถวิ่งผ่านและไฟหน้ารถส่องมา ฉัน…ฉันก็เห็นว่าเขา…เขา…” ปากเธอสั่นอย่างน่ากลัวจนนายตำรวจต้องรีบเปลี่ยนคำถาม
“คุณเป็นเพื่อนบ้านของเขาหรอครับ?”
“ค…ค่ะ”
ตำรวจผู้สอบปากคำเลิกคิ้วเล็กน้อย “พอจะทราบไหมครับว่าเขามีศัตรูที่ไหนไหม?”
“ฉัน…ฉันไม่รู้หรอกค่ะ รู้แค่ว่าเขาเป็นคนโสด” เธอตอบเสียงสั่นก่อนที่เธอจะนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ แต่ถ้าเป็นเรื่องนิสัยแย่ ๆ ล่ะก็ คนแถวนี้ก็รู้กันหมดล่ะค่ะ”
“นิสัยแย่ ๆ หรอครับ?”
“ค่ะ” ตอนนี้น้ำเสียงของเธอดูมั่นคงขึ้นมาบ้างแล้ว “เขาเป็นคนที่ชอบแกล้งสัตว์มาก ๆ เห็นหมาก็ตีจมูกมัน แล้วถ้าเห็นแมวนะคะ เขาก็ต้องหาอะไรขว้างใส่ให้มันวิ่งตกใจเตลิดเปิดเปิงตลอด”
พอได้ยินคำว่า ‘แมว’ ก็ทำให้พิรัณปักใจเชื่อไปเกินครึ่งแล้วว่า เป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ แต่ถ้าเป็นคดีนั้นจริง ๆ เขาก็แปลกใจว่าทำไมผู้กองอนุศรถึงไม่อยู่ที่นี่ด้วย
ตอนนั้นเองที่มือถือของเขาสั่นแรง ๆ ทีหนึ่ง พอหยิบออกมาดูก็พบว่าเป็นไลน์จากผู้กองที่เขาเพิ่งบ่นในใจไป
‘เกิดคดีที่ 4 แล้ว ฉันติดประชุมด่วนเลยไปที่เกิดเหตุเองไม่ได้ แต่อีกแป๊ปเดียวลูกน้องของฉันจะส่งข้อมูลเข้าเมล์นะ’
นักข่าวหนุ่มอดค่อนขอดในใจไม่ได้ว่าทำไมซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างนะ…
ติ๊ง…
ไม่นานนัก เสียงแจ้งเตือนอีเมล์เข้าก็ดังขึ้น พิรัณรีบเปิดเมล์อ่านทันที ดวงตาสีดำกวาดมองเนื้อหาในนั้นคร่าว ๆ ซึ่งเกือบทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่เขาพอคาดเดาได้อยู่แล้ว ทั้งสถานที่เกิดเหตุ สภาพศพ และสาเหตุการตาย ยกเว้นก็แต่เนื้อหาจากบทสนทนาที่เขาแอบได้ยินเมื่อครู่ จากนั้นเขาก็เปิดรูปภาพที่แนบมา
และเป็นอย่างที่เขาคาดไว้ มีเงาของแมวตัวหนึ่งติดมาด้วยที่มุมด้านหนึ่งของรูปทุกรูป
พิรัณรู้สึกเหมือนขนหัวลุกอย่างอดไม่ได้
หรือว่าคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนี้…จะเกี่ยวอะไรกับ ‘แมว’ จริง ๆ?
นักข่าวหนุ่มไม่รอช้า ส่งไลน์หาบก.อรุณอย่างรวดเร็ว เกริ่นคร่าว ๆ เรื่องคดีล่าสุดที่เกิดขึ้น พร้อมกับบอกว่าคืนนี้เขาจะรีบร่างข่าวของคดีที่ 4 นี้ให้อีกฝ่ายดูเพื่อรอรายละเอียดเพิ่มเติมจากทางตำรวจ
[ฝากด้วยนะพิรัณ] บก.ส่งข้อความตอบกลับมาสั้น ๆ ขณะที่พิรัณหมุนตัวออกจากบริเวณนั้น แต่เพราะว่าเขามัวแต่มองหน้าจอมือถือ จึงเกือบชนร่างสูงกำยำของใครคนหนึ่งที่มาหยุดอยู่ข้างหลังของเขาพอดี
“ขอโทษ…อ้าว อาจารย์เอเดรียน” พิรัณที่เงยหน้าขึ้นมาถึงกับชะงักกึกเมื่อเห็นว่าเขาที่เขาเกือบชน คืออาจารย์ต่างชาติคนนั้นที่เขาเพิ่งบอกลาเมื่อช่วงบ่ายแก่
“บังเอิญจังเลยนะครับ” เอเดรียนระบายยิ้มจาง ๆ แม้ปากจะบอกว่าบังเอิญ แต่สีหน้ากลับไม่มีความประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย “ผมนึกว่าคุณกลับไปแล้วซะอีก”
“หลังจากคุยกับคุณเสร็จ ผมก็มานั่งทำงานอยู่ตรงร้านกาแฟที่ซอยข้าง ๆ น่ะครับ” อีกฝ่ายตอบก่อนจะพยักเพยิดไปทางร้านกาแฟหัวมุมที่เขาเพิ่งจากมา “แล้วอาจารย์ล่ะครับ? ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้?”
“ผมเพิ่งเลิกงานน่ะครับ และทางนี้ก็เป็นทางกลับบ้านของผม” อาจารย์หนุ่มตอบก่อนจะเหลือบมองไปทางไทยมุงนิ่ง ๆ “ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องอีกแล้วสินะครับ”
พิรัณหันกลับไปมองทางนั้นอย่างอดใจไม่ได้เช่นกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบหาหลักฐานอื่น ๆ ในที่เกิดเหตุ แต่ดูจากท่าทางแล้ว พวกเขาก็คงยังมืดแปดด้านเหมือนเดิม “ใช่ครับ และเป็นคดีที่ 4 แล้วด้วย” เขาว่าพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ฆาตกรลงมือไม่หยุดแบบนี้น่ากังวลจริง ๆ” เอเดรียนส่ายหน้าเบา ๆ “แบบนี้งานของคุณก็เพิ่มขึ้นมาอีกชิ้นสินะครับ”
นักข่าวที่โดนงานหล่นทับแค่นเสียงหัวเราะเบา ๆ ราวกับนึกปลงในชะตากรรมของตัวเอง “ทำไงได้ล่ะ” สุดท้ายก็ได้แต่พึมพำเบา ๆ อย่างอ่อนใจ แล้วดวงตาสีดำก็หันกลับมามอง เพราะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ผมไม่ค่อยอยากคิดหรอกนะว่ามันจะเกี่ยวข้องกับแมวจริง ๆ แต่ว่าคดีนี้ก็มีเงาแมวติดมาในรูปถ่ายที่เกิดเหตุอีกแล้วล่ะครับ” ว่าแล้วเขาก็เปิดรูปจากอีเมล์ให้อีกฝ่ายดู
“ให้ผมดูก่อนเผยแพร่จะดีหรอครับ?”
“ตอนนี้ข่าวเรื่องมีเงาของแมวในที่เกิดเหตุคงกระจายออกไปแล้ว แล้วอาจารย์เองก็เป็นคนสังเกตเห็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นความลับแล้วล่ะ” พิรัณพูดและยื่นมือถือให้
ดวงตาสีทองหลังกรอบแว่นวาวโรจน์ก่อนที่จะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วจนจับสังเกตไม่ทัน แต่คิ้วบางกลับย่นเข้าหากันเล็กน้อย “คน ๆ นี้…ผมว่าผมเคยเห็นเขาละแวกนี้บ่อย ๆ นะ” เขาเปรยขณะเลื่อนดูรูปถ่ายหน้าตรงของผู้ตาย “และทุกครั้งที่เห็น เขาก็กำลังแกล้งสัตว์จรจัดตลอด”
“คนพบศพที่เป็นเพื่อนบ้านของเขาก็บอกแบบนั้น เห็นหมาก็ตีมัน เห็นแมวก็เขวี้ยงของใส่” อีกฝ่ายว่าด้วยน้ำเสียงห้วน เรียกให้คนที่กำลังดูรูปเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความประหลาดใจ
เอเดรียนเห็นใบหน้าถมึงทึงกว่าปกติแล้วก็อดถามไม่ได้ “คุณชอบแมวหรอ?” เขาถาม
“ผมก็แค่คิดว่ามันน่าเอ็นดู” พิรัณตอบเลี่ยง ๆ ไม่ทันได้ฉุกคิดว่าอีกฝ่ายเจาะจงถามแค่เรื่องแมวเท่านั้น
คนถามหยักยิ้มที่มุมปากบางเบา “สำหรับคุณมองว่าแมวน่าเอ็นดู แต่น่าเสียดายนะครับที่ไม่ใช่ ‘ทุกคน’ ที่เอ็นดูมัน แล้วก็มี ‘บางคน’ ที่ชอบรังแกมันอีกด้วย อย่างเช่น…” เขาหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะยื่นมือถือคืนให้ หน้าจอยังคงค้างเป็นรูปหน้าตรงของเหยื่อรายล่าสุด “…ชายคนนี้ เป็นต้น”
คำพูดนั้นสะกิดใจของนักข่าวหนุ่ม ผู้ตายรายนี้ไม่มีศัตรูที่ไหนเช่นเดียวกับเหยื่อก่อนหน้านี้ ไม่มีนิสัยแย่ ๆ จนคนอื่นรับไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาได้รู้เพิ่มเติมก็คือ เหยื่อรายนี้มีนิสัยชอบแกล้งสัตว์จรจัด รวมไปถึงแมวจรจัดจนเป็นที่รู้กันของคนในละแวกนี้
‘แมว’
คำ ๆ นี้ทำให้เขาก้มลงดูรูปถ่ายในที่เกิดเหตุในอีเมล์อีกครั้ง เงาของแมวที่ปรากฏอยู่ที่มุมรูปทุกรูปยิ่งตอกย้ำความคิดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ของเขา แต่…ถ้าหากว่าเหยื่อทุกรายที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันมีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือ…
พิรัณขมวดคิ้ว ไม่ค่อยอยากเชื่อในข้อสันนิษฐานนี้เท่าไหร่ เพราะนั่นหมายความว่าฆาตกรต้องรู้ว่าเหยื่อแต่ละรายมีนิสัยด้านลบแบบนี้ แต่เขารู้ได้อย่างไร? แต่เมื่อพิจารณาอีกครั้ง เขาก็พบว่าไม่เสียหายอะไรถ้าจะตั้งข้อสังเกตแบบนี้
“ผมขอตัวสักครู่นะครับ” เขาเงยหน้าบอกคนตรงหน้าก่อนจะก้มหน้ากดเบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคย เขาหันหน้าไปอีกทางขณะรอคนปลายสายรับสาย ไม่นานนักเสียงนายตำรวจที่คุ้นเคยก็ตอบรับ “ผู้กองสะดวกคุยไหมครับ? ผมมีเบาะแสอย่างหนึ่งของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องมาบอกครับ”
ร่างสูงโปร่งหันกลับมามองเอเดรียนแวบหนึ่งก่อนจะกรอกเสียงลงไป “จะเป็นไปได้ไหมครับว่าเหยื่อทุกรายที่ดูไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเลย มีนิสัยอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือเป็นพวกชอบรังแกสัตว์จรจัด โดยเฉพาะแมว” เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “เพราะเหยื่อรายล่าสุดชอบรังแกพวกหมาพวกแมวน่ะครับ คนละแวกนี้ก็รู้กันหมด”
[คนละแวกนี้? นายรู้ได้ยังไง?]
น้ำเสียงสงสัยที่ถามกลับมาทำให้พิรัณชะงักไป ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาแอบฟังการสอบปากคำล่ะก็…อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็เป็นได้ ดวงตาสีดำปรายมองอาจารย์หนุ่มตาสีทองอีกครั้ง “อาจารย์เอเดรียนบอกผมน่ะครับ เขาผ่านแถวนี้บ่อย และเห็นผู้ตายตอนแกล้งสัตว์หลายครั้ง” เขาตอบ
[หือ? นายอยู่กับอาจารย์หรอ?]
“ครับ พอดีวันนี้ผมมาคุยเรื่องข้อมูลที่จะเอาลงในบทความน่ะ”
[อ้อ…แล้วทำไมนายถึงคิดว่าพวกเขามีนิสัยแบบนี้เหมือนกันหมดล่ะ?]
“ผมบอกไม่ถูก” นักข่าวหนุ่มถอนหายใจ “พอคิดว่าในรูปมีเงาแมวอยู่ด้วย มันก็อดคิดไม่ได้น่ะครับ”
[เพิ่งรู้ว่านายเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย?]
“คดีเกิดขึ้นสี่ครั้ง และมีเงาแมวทุกครั้ง…แบบนี้จะไม่ให้คิดได้ยังไงล่ะครับ?”
ระหว่างที่พิรัณต่อปากต่อคำกับนายตำรวจปลายสาย เขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าดวงตาสีทองใต้กรอบแว่นนั้นหรี่มองเขาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ไม่แม้แต่จะกระพริบแม้มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยับแว่นตาเล็กน้อย ริมฝีปากแย้มยิ้มราวกับว่าความตั้งใจนั้นลุล่วงแล้ว
และในขณะเดียวกันนั้น…ดวงตาสีส้มกลมโตก็ลอบมองร่างสูงโปร่งที่กำลังคุยโทรศัพท์อย่างไม่วางตาเช่นกัน แต่เมื่อสายตานั้นเหลือบไปเห็นชายหนุ่มร่างกำยำที่กำลังขยับแว่น ดวงตาคู่นั้นก็เบิกโพลงมากกว่าเดิม
###
กลางดึกคืนนั้นที่โรงพยาบาลชื่อดังของกรุงเทพฯ วุ่นวายเหมือนทุกวัน ไม่ว่าจะด้วยคนไข้ที่มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือด้วยคนไข้ฉุกเฉินที่มากจนเกือบล้น ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครแปลกใจเท่าไหร่หากมีใครบางคนมีอาการวิงเวียนศีรษะ หรือหน้ามืดจนยืนไม่อยู่
เหล่าแพทย์และพยาบาลต่างวุ่นวายและรักษาคนไข้จนมือเป็นระวิง ไม่ทันได้สังเกตเงาดำที่กระโดดผ่านหน้าระเบียงห้องพักคนไข้ ตั้งแต่ชั้นล่างสุดจนถึงชั้นบนสุด และหายไปที่ชั้นดาดฟ้าของโรงพยาบาล
ชั้นดาดฟ้าของโรงพยาบาลเป็นเหมือนอีกสถานที่พักผ่อนหนึ่งที่จัดไว้ให้คนไข้ได้เปลี่ยนบรรยากาศพักผ่อน ดังนั้นจึงมีไม้ดอกขนาดเล็กประดับเกือบทุกตารางนิ้ว มีเก้าอี้ยาววางเรียงรายให้นั่งยืดแข้งขา และเงาดำนั้นก็กระโดดผลิวลงบนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง ดวงตาสีเหลืองสะท้อนแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมากระทบ หูสองข้างและหางนิ่งสนิทราวกับกำลังซึมซับบรรยากาศที่เงียบสงบนี้
แต่หากมองดี ๆ ก็จะเห็นว่ามีไอสีขาวขุ่นกำลังไหลเข้าจมูกสีดำราวกับถูกดูดเข้าไปอย่างเชื่องช้า
ไม่นานนัก ไอสีขาวนั้นก็หายไป แล้วขนสีดำทั้งตัวก็ลุกชันยามรู้สึกถึงผู้มาเยือนอีก ‘ตัว’ หางฟูฟ่อง เล็บทั้งสิบยืดขยาย และริมฝีปากที่แสยะกว้างจนเห็นเขี้ยวยาวที่มุมปาก ดวงตาของมันที่เบิกกว้างกว่าเดิมจ้องมองไปยังทิศทางฝั่งตรงข้าม
ที่ซึ่ง ‘แมวดำ’ อีกตัวย่างกรายออกมาจากเงามืด
ราวกับพวกมันกำลังส่องกระจกของกันและกัน หากแต่ตัวหนึ่งมีดวงตาสีเหลืองอร่าม แต่อีกตัวมีดวงตาสีส้มสว่าง
ครู่หนึ่งผ่านไปเจ้าของดวงตาสีทองก็มีท่าทีอ่อนลง ขนาดตัวของมันดูเล็กลงยามจิตใจสงบ มันหย่อนก้นลงนั่งขณะที่หางแกว่งไกวราวกับอยากทักทาย แต่เจ้าของดวงตาสีส้มกลับกลายเป็นฝ่ายที่อารมณ์พลุ่งพล่านเสียเอง
มันแยกเขี้ยวหมายจะขู่ขวัญ แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย…
จนในที่สุดมันก็เป็นฝ่ายสะบัดหน้าหนี และจากไปอย่างเงียบเชียบเหมือนเช่นตอนที่ปรากฏตัว
แมวดำอีกตัวได้แต่มองส่งโดยไม่ได้เอ่ยอะไร เมื่อมันแน่ใจว่าตอนนี้อยู่ตัวเดียวแล้ว มันก็กระโดดลงจากเก้าอี้ยาว เงาดำที่พาดผ่านบนพื้นปูน จากสัตว์ 4 เท้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ 2 เท้าที่เท้าห่อหุ้มด้วยรองเท้าหนังมันขลับ
‘ร่างสูงกำยำ’ เดินไปที่รั้วริมดาดฟ้า ใบหน้าก้มลงมองบนพื้นที่คนเดินบนท้องถนนเริ่มบางตาลงบ้างแล้ว แต่สิ่งที่เขาจับจ้องอยู่นั้น คือ มอเตอร์ไซคันหนึ่งที่จอดรอสัญญาณไฟอยู่ที่สี่แยกหน้าโรงพยาบาล และเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว มันก็ออกตัวอีกครั้ง
ดวงตาสีทองมองตามไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งทั้งคนขี่และมอเตอร์ไซหายเข้าไปในอาคารที่พัก
เขาหรี่ตาพลางครุ่นคิด…ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการที่บอกใบ้ไปแบบนั้นจะทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนหรือเปล่า
To Be Continued….
หนังสือมาแล้ว! สั่งซื้อหนังสือได้ที่นี่ >> https://xeiji.com/product/the-sith-cat-s-charm/