1st Charm: นักข่าวสายอาชญากรรม
แม้เวลาจะล่วงมาเที่ยงคืนแล้ว แต่พื้นที่ชุมชนในแถบวิภาวดีก็ยังมีไทยมุงมารุมล้อมด้วยความสนใจ แม้จะมีเทปเหลืองกั้นอาณาเขตไว้เหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ก็ไม่อาจต้านทานความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านแถวนี้ได้
สายตาของนายตำรวจเจ้าของดาวสามดวงที่ไหล่ปรายมองชาวบ้านที่พยายามชะเง้อดูพื้นที่ภายในเขตที่กั้นไว้ “เกิดเรื่องดึกขนาดนี้ก็ยังออกมาดูกันเนอะ” เขาถอนหายใจพลางบ่นเบา ๆ ก่อนที่จะหันกลับมาพิจารณาที่เกิดเหตุอีกครั้ง
เหตุการณ์เมื่อคืนเกิดขึ้นในซอยเปลี่ยวที่มักไม่มีใครเดินผ่าน แม้แต่เด็กเล็กก็รู้ว่าไม่ควรย่างกรายเข้ามา แต่ชายหนุ่มวัยทำงานคนนี้กลับโผล่มาจนเหลือแค่ร่างไร้วิญญาณแบบนี้…มันชวนให้น่าสงสัย
“ถ่ายรูปเสร็จรึยัง?” เขาเอ่ยถามลูกน้องที่รับหน้าที่เก็บภาพสถานที่เกิดเหตุไว้
“เสร็จแล้วครับผู้กอง” ช่างภาพตอบพร้อมกับยื่นกล้องให้
“อืม…” นายตำรวจยศสูงกว่าครางรับในลำคอขณะไล่ดูรูปที่ถ่ายไว้ คิ้วหนาขมวดมุ่นเมื่อเห็นรูปแต่รูปที่ถูกบันทึกไว้ “เหมือนกันจริง ๆ”
“รายที่สองแล้วนะครับผู้กองอนุศร”
“ใช่” อนุศรเงยหน้าขึ้นมองร่างที่ถูกผ้าสีขาวคลุมทับไว้ หรี่ตามองกองเลือดแห้งกรังรอบศพอย่างครุ่นคิด “มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการฆาตกรรมต่อเนื่อง”
“หรือว่าเป็นเรื่องบังเอิญครับ?”
ผู้กองได้แต่ถอนหายใจ “ยังบอกยาก” เขาตอบพร้อมกับส่งกล้องคืนให้อีกฝ่าย “ยังไงก็อย่าลืมส่งรูปให้ ‘เขา’ ทางเมล์เพื่อทำข่าวด้วยล่ะ แล้วก็พวกรายละเอียดต่าง ๆ ที่เปิดเผยต่อสาธารณะได้ด้วย”
“ไม่ต้องส่งเมล์หรอก ให้ผมตอนนี้เลยก็ได้” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหลังทำเอานายตำรวจชั้นผู้น้อยสะดุ้งเล็กน้อย แต่คนยศสูงกว่ากลับหัวเราะเบา ๆ ราวกับชินเสียแล้ว
“พูดถึงคน คนก็มา…ให้ตายสิ จมูกไวเป็นบ้า” อนุศรแซวพร้อมกับหันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนรออยู่นอกเทปกั้นสีเหลือง ชายหนุ่มคนนั้นอยู่ในเสื้อโปโลสีอ่อนปล่อยชายและกางเกงยีนสีเข้ม การแต่งการดูสบาย ๆ แต่ใบหน้าของเขากลับนิ่งขรึม เช่นเดียวกับดวงตาสีดำที่มักมีความจริงจังสะท้อนออกมาเสมอ
“ก็เป็นนักข่าวนี่ครับ โดยเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้จะพลาดไม่ได้” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบขณะกระชับปากกาและสมุดโน้ตในมือ “ว่าไงบ้างครับ”
อนุศรส่ายหน้าเบา ๆ ให้กับความจริงจังต่องานของนักข่าวหนุ่ม เขาขอกล้องจากผู้ใต้บังคับบัญชาอีกครั้งก่อนจะเดินไปหาอีกฝ่าย “ดูนี่” เขาว่าพร้อมกับยื่นกล้องในมือให้ และอธิบายไปเรื่อย ๆ ขณะที่อีกฝ่ายไล่ดูรูปไปเรื่อย ๆ “ถูกแทงมีดเดียวเสียชีวิตคาที่ ผู้ตายอยู่ในอาการตื่นตระหนก และสภาพศพก็เหมือนถูกสูบเลือดสูบเนื้อออกไปจนเหลือแต่ผิวหนังหุ้มกระดูก”
“แบบนี้มัน…”
“ใช่ เหมือนคดีก่อนหน้านี้เลย พิรัณ”
พิรัณนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งกล้องคืนให้นายตำรวจ “ห่างกันแค่ไม่กี่วันด้วย” เขาเสริมก่อนจะปรายตามองผ้าคลุมสีขาวที่คลุมทับร่างไร้วิญญาณของผู้เคราะห์ร้าย จากนั้นสายตาคมกริบก็กวาดมองรอบสถานที่เกิดเหตุ ซ่อนความอยากรู้อยากเห็นไว้ใต้ท่าทีสงบนิ่ง
ผู้กองหนุ่มรู้ทันความต้องการของอีกฝ่าย “ฉันรู้ว่านายต้องการอะไร” เขาถอนหายใจยาว “แต่ตามกฎแล้ว ฉันจะให้บุคคลภายนอกนอกจากเจ้าหน้าที่เข้ามาไม่ได้”
“ผมรู้” พิรัณพยักหน้ารับ
“ขอบใจ” อนุศรยิ้มรับเล็กน้อย รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยนักข่าวที่เขาร่วมงานด้วยคือคนที่เข้าใจเรื่องกฎระเบียบดีอย่าง พิรัณ โยธาทิวัฒน์ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้ปวดหัวมากกว่านี้แน่ ๆ “รายละเอียดอื่น ๆ อย่างพวกประวัติผู้ตาย และข้อมูลรูปคดีที่เปิดเผยได้ ฉันจะให้ลูกน้องส่งให้ทางเมล์นะ”
“ผมขอเร็วที่สุดนะ” นักข่าวหนุ่มว่าต่อทันที เขาก้มมองเวลานาฬิกาข้อมือ “ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่เกินสองชั่วโมง ผมไม่อยากให้บก. รู้เรื่องนี้ก่อนผมส่งงานให้ปรู๊ฟน่ะ”
“รู้น่า ไอ้อรุณนี่ก็เคี่ยวรุ่นน้องอย่างนายเป็นบ้า” นายตำรวจหัวเราะในลำคอเบา ๆ พร้อมกับตบบ่าอีกฝ่าย “ฝากเตือนให้ประชาชนระวังตัวเวลาไปไหนมาไหนตอนกลางคืนด้วยนะ เพราะเรายังไม่รู้ว่าแรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร”
“และเหยื่อก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย” พิรัณพูดต่อ
อนุศรร้องโฮ่ด้วยความชื่นชม “สนใจเปลี่ยนอาชีพจากนักข่าวเป็นตำรวจไหม?”
ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธทันทีก่อนจะเรียกให้ช่างภาพตำรวจส่งรูปจากล้องเข้ามือถือของเขา “ผมยังไม่อยากโดนบก.ฆ่าทิ้ง” เขาตอบสั้น ๆ ขณะเปิดแอพฯ ในมือถือเพื่อรอโหลดรูป
“มันจะฆ่ารุ่นน้องคณะเดียวกันก็ให้รู้ไปสิวะ!” อนุศรหัวเราะร่า
พิรัณได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับรุ่นพี่ที่อารมณ์ดีได้ทุกเวลาแม้แต่ในที่เกิดเหตุแบบนี้ “เสร็จแล้วครับ งั้นผมกลับไปเขียนข่าวก่อนนะ” เขาว่าพร้อมกับเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง “ฝากเรื่องข้อมูลด้วยนะครับ สองชั่วโมงนะอย่าลืม”
“รู้แล้ว! นี่ใครเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกันแน่วะ!”
###
ว่ากันว่าวันเวลาผันเปลี่ยน…ทุกอย่างย่อมมีการพัฒนา
เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ได้รับการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ทั้งเทคโนโลยี การแพทย์ การคมนาคม การทหาร การศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นเป็นลำดับ และความเจริญก็กระจายตัวสู่พื้นที่จังหวัดอื่น ดังนั้นกรุงเทพมหานครจึงไม่แออัดเหมือนเช่นในอดีต
ทุกอย่างเพิ่มขึ้น…เช่นเดียวกับตัวเลขของเหตุอาชญากรรมเช่นกัน เพราะแม้ทุกอย่างจะเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันมีสิ่งหนึ่งที่ถดถอยลงเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือลดน้อยลงแม้แต่น้อย
นั่นก็คือคุณธรรมในจิตใจของพลเมือง
เกิดคดีขึ้นมากมายในแต่ละวัน ตั้งแต่คดีเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างโจรวิ่งราว ไปจนถึงฆ่าล้างทั้งตระกูล…หลายมาตรการเพื่อพัฒนาคุณธรรมในใจถูกประกาศใช้ออกมาไม่รู้กี่ฉบับต่อกี่ฉบับ
แต่ก็ยังไม่ได้ผล…
ในขณะที่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุยังคงดำเนินไปอย่างทุลักทุเล การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุจึงต้องเข้ามาช่วย นั่นก็คือ การจับอาชญากรเหล่านี้มาลงโทษให้หลาบจำ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ตำรวจก็ไม่อาจทำหน้าที่ได้เต็มที่ ไหนจะตามจับ ไหนจะสืบหาคนร้ายอีก ดังนั้นการรายงานข่าว และคดีต่าง ๆ ต่อสาธารณชนจึงตกเป็นหน้าที่ของนักข่าวสายอาชญากรรมพิเศษ พวกเขาคือผู้ที่จะได้รับข้อมูลจากตำรวจก่อนใคร และได้รับสิทธิในการเผยแพร่ข่าวอาชญากรรมอย่างเป็นทางการ และถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีเผยแพร่ข่าวเท็จ และหมายจะใช้ความตื่นตระหนกของประชาชนเป็นเครื่องมือก่อเหตุ
และพิรัณ โยธาทิวัฒน์ก็เป็นหนึ่งในนักข่าวสายอาชญากรรมพิเศษชื่อดังระดับแนวหน้า ขึ้นชื่อในเรื่องภาษาที่ใช้นำเสนอข่าว ความรวดเร็วในการออกข่าว ความจมูกไวในคดี และ…เสน่ห์ที่ชวนมอง
แม้แต่ละส่วนของใบหน้าไม่มีอะไรโดดเด่นไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นดวงตาสีดำคมกริบ คิ้วหนา จมูกโด่งเล็กน้อย และริมฝีปากบางที่ไม่ค่อยขยับยิ้มเท่าไรนัก แต่เมื่อจับมารวมกันกับบุคลิกเงียบขรึมเอาจริงเอาจัง และผมสีดำสั้นที่มัดเป็นหางม้าครึ่งหัว ทำให้เขามีเสน่ห์ชวนให้ชายตามอง
เวลาเขาปรากฏตัวในที่เกิดเหตุ ก็มักจะทำให้บรรยากาศตรงนั้นสงบเล็กน้อยโดยไม่ทราบสาเหตุ…
พิรัณหยิบกุญแจไขเข้าห้องพักที่บริษัทจัดหาให้ เมื่อประตูเปิดออก เขาก็เอื้อมมือกดเปิดสวิตช์ไฟด้วยความเคยชิน เผยให้เห็นห้องพักขนาดกะทัดรัดสำหรับผู้ชายคนหนึ่งพักอาศัย เขาถอดรองเท้าออกวางริมผนังพร้อมกับปิดประตูห้อง
พอประตูปิด ดวงตาสีดำที่เมื่อครู่ยังตื่นตัวก็มีประกายง่วงงุนเล็กน้อย เขาจึงตัดสินใจไปชงกาแฟนอ่อน ๆ สักแก้วเพื่อช่วยถ่างตาให้เขาปั่นข่าวล่าสุดให้เสร็จก่อนเช้า
เขาโยนกระเป๋าสะพายข้างลงบนโซฟาคนสองคนนั่งก่อนจะเดินตัวปลิวเข้าไปในครัว ไม่นานนักกลิ่นกาแฟก็โชยออกมา คาเฟอีนที่สัมผัสปลายลิ้นและปลายจมูกค่อยช่วยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาบ้าง เขาวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะทำงานก่อนที่เขาจะเปิดแล็ปท็อปคู่ใจ
โต๊ะทำงานของพิรัณค่อนข้างรกด้วยสมุดจดหลายเล่มหลายขนาด และปากกาหลายด้าม เพราะเขามีนิสัยจดทุกอย่างลงสมุดแทนที่จะจดลงมือถือหรือแท็ปเล็ตอย่างที่นักข่าวคนอื่นเขาทำกัน
เขายกกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อยขณะรอให้หน้าจอแล็ปท็อปเปิด และทันทีที่มันพร้อมใช้งาน กล่องข้อความเข้าในอีเมล์ของเขาก็แจ้งเตือนทันที ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยด้วยความพอใจเมื่อเห็นชื่อผู้ส่งและหัวเรื่องอีเมล์
“ภายในสองชั่วโมงจริง ๆ” เขาพึมพำอย่างโล่งอกขณะเปิดอ่านข้อมูลที่ถูกส่งมาจากกรมตำรวจ อย่างน้อยเขาก็มีอะไรไปส่งบก. ตอนเช้าโดยไม่ต้องโดนบ่นแล้ว สายตาของเขากวาดมองรายละเอียดทั้งหมดก่อนที่เขาจะกดเปิดโปรแกรมพิมพ์ มือเรียววางบนแป้นคีย์บอร์ด นิ่งไว้อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนมันจะเริ่มบรรเลงพรมบนแป้น
บรรทัดที่หนึ่งผ่านไป…
ย่อหน้าที่หนึ่งผ่านไป…
จนกระทั่งตัวอักษรสุดท้ายปิดท้ายบทความและเฮดไลน์ เขาอ่านทวนสิ่งที่เขียนไว้อีกรอบก่อนจะจัดการส่งไฟล์ให้บก. พิจารณาก่อนเพื่อเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของสำนักข่าวออนไลน์ของเขา
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พิรัณจึงได้ละสายตาจากจอแล็ปท็อปและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เปลือกตาของเขาค่อย ๆ ปิดลงอย่างอ่อนล้าแม้ในความคิดจะไม่หยุดพักไปด้วย
จากการทำงานเป็นนักข่าวสายอาชญากรรมพิเศษมาได้สามปี เขาไม่เคยเห็นคดีที่โหดเหี้ยม และประหลาดแบบนี้มาก่อน
“แทงมีดเดียว…ผิวหนังหุ้มกระดูกงั้นหรอ?” เขาพึมพำอย่างครุ่นคิด “ถูกแทงจนเสียเลือดก็ไม่น่าจะผิวลีบติดกระดูกขนาดนั้น”
เขารู้สึกสังหรณ์ใจว่าคดีมันยังไม่จบแค่นี้
คิดไปคิดมา…เขาก็เผลอสัปหงกคาโต๊ะทำงานไปอีกครั้ง และเช้าวันถัดมาเขาก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยสายด่วนจากผู้กองคนเดิมที่คุ้นเคย
“ว่าไงครับผู้กอง” พิรัณตอบรับด้วยเสียงง่วงงุน เขากะพริบตาปริบ ๆ เพื่อปรับแสงสว่างยามเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา
[เปิดเมล์เร็วเข้าพิรัณ!] เสียงร้อนรนของอนุศรจากปลายสายทำให้นักข่าวหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจ
“มีอะไรรึเปล่าครั…”
[เกิดเหตุอีกแล้วน่ะสิ! เปิดเมล์เร็วเข้า แล้วนายก็จะรู้เอง] คำตอบนั้นทำเอาพิรัณเริ่มหายง่วง มือข้างที่ว่างกดเปิดอีเมล์อย่างรวดเร็ว และสิ่งที่เห็นในเนื้อหานั้นทำให้ความง่วงงุนหายไปทันที
“นี่มัน…”
[ก็เออสิ! คนร้ายก่อเหตุสองครั้งในคืนเดียวเลย!! บ้าฉิบ!] ผู้กองหนุ่มสบถอย่างหัวเสียก่อนจะวางสายไป ส่วนคนที่หายง่วงนั้นรีบอ่านรายละเอียดอย่างรวดเร็ว
“มีดเดียวตายคาที่ ศพถูกสูบเลือดสูบเนื้อออก…” เสียงทุ้มพึมพำแผ่วเบาด้วยความตระหนก “…รายที่สามแล้วนะ” ไม่ว่าเปล่า มือขวาก็ไล่เปิดดูรูปที่แนบมาด้วยกัน
แล้วสายตาของเขาก็ชะงักเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในรูปถ่ายของคดีที่สาม “อะไรน่ะ?” เขาขมวดคิ้วมุ่น พยายามเพ่งมองสิ่งนั้นเพื่อจะเข้าใจรูปร่างของมันมากขึ้น เขามองอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งก่อนจะเปิดดูรูปของสองคดีที่ผ่านมา ไล่มองสลับกันไปมาหลายรอบ
“เงา?”
To Be Continued…
หนังสือมาแล้ว! สั่งซื้อหนังสือได้ที่ >> https://xeiji.com/product/the-sith-cat-s-charm/