Skip to content

The Piracy Vipe เล่ห์กะโหลกไขว้ – Chapter 0 : Prologue

  • by

Chapter 0 : Prologue

“กัปตัน!”

เขาได้ยินเสียงร้องเรียกตัวเองแทนชื่อ หากแต่ครั้งนี้เขาไม่อาจตอบรับเสียงเรียกนั้นได้เหมือนเช่นทุกครั้ง นัยน์ตาสีดำทอดมองเหล่าลูกน้องที่ยืนแออัดบนเรือเล็กสามลำ แม้ตัวเขาอยู่ห่างออกไปหลายช่วงเรือ แต่ก็เห็นสีหน้าตกใจระคนหวาดหวั่นและเศร้าโศกอย่างชัดเจน

แกร๊ง…

เสียงโลหะกระทบกันเบา ๆ ดึงสติให้ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าตอนนี้เขาไม่อาจกลับไปยืนตรงนั้นได้อีกแล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยกมือขึ้นถอดหมวกปีกกว้างบนศีรษะ ริมฝีปากพึมพำอะไรบางอย่างรัวเร็วจนจับใจความไม่ได้ ก่อนจะจับมันวางเหนือน้ำทะเล หมวกใบนั้นลอยละล่องไปทางลูกน้องคนหนึ่งที่โน้มตัวมารับได้พอดีราวกับจับวาง

แกร๊ง…

เสียงโลหะที่พันรอบข้อมือข้อเท้าดังขึ้นอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มกลับไม่ใส่ใจสิ่งที่พันธนาการตัวเองอยู่ กลับฉีกยิ้มเล็กน้อยส่งท้ายให้กับกลุ่มลูกเรือที่พร้อมใจกันลุกขึ้นยืน และโค้งคำนับให้เขาอย่างพร้อมเพรียง

เขารู้ว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นภาพเช่นนี้ แต่ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่น่าจดจำไม่เลว

“พิรี้พิไรเสียจริง” น้ำเสียงห้าวแข็งกระด้างและเต็มไปด้วยความหงุดหงิดดังขึ้นข้างหลัง หากแต่คนถูกค่อนแคะทำเพียงเหยียดยิ้มเย้ยหยัน 

ชายหนุ่มผู้ถูกพันธนาการปล่อยให้ ‘ทหารเรือ’ ยศสูงในเครื่องแบบสีกรมท่าออกคำสั่งให้กะลาสีเรือชักสมอเรือขึ้น ตามมาด้วยเสียงบอกต่อคำสั่งเป็นทอด ๆ ที่ดังระงม หากหันหน้ากลับไปมองสักนิด เขาคงได้เห็นภาพความวุ่นวายของการชักใบเรือขึ้นสู่ยอดเสาซึ่งส่งผลให้เรือราชนาวีลำใหญ่ก็เริ่มเคลื่อนที่

แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ของเขา และเขาไม่เคยใคร่จะใส่ใจ

ภาพของลูกเรือในเรือบดลำเล็กเริ่มห่างออกไป…ห่างออกไป…จนกระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงา

ได้เวลาแล้ว

ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้กาบเรือท่ามกลางสายตานับสิบคู่ของนายทหารเรือที่คอยระแวดระวังเขา…ผู้ที่ถูกพันธนาการทั้งมือและเท้าจนแทบไม่อาจกระดิกกระเดี้ย

“คิดจะทำอะไร?” เสียงเดิมถาม

หากแต่เขาไม่ตอบ นัยน์ตาสีดำหรี่มองผืนน้ำของท้องทะเลที่ท้องเรือแล่นผ่าน ก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโปร่ง ปลายจมูกขยับคล้ายกำลังรับรู้กลิ่นของอะไรบางอย่างที่นาวิกโยธินยศสูงผู้นั้นไม่เข้าใจ

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนแปลง…

…เช่นเดียวกับผืนน้ำ

เมฆฝนจากทิศใต้เริ่มแผ่ขยายอาณาเขต ต้นหนตะโกนร้องบอกแจ้งเตือนพายุที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ “พันเอก! คลื่นมรณะ!!” สิ้นคำนั้นราวกับกรรไกรตัดเชือกความสงบนิ่งของเหล่าลูกเรือ ความตื่นตระหนกแผ่ซ่านไปทั่วทั้งเรือราชนาวี เสียงตะโกนออกคำสั่งรับมืคลื่นมรณะดังระงมยิ่งกว่าเก่า เสียงฝีเท้าวิ่งพล่านกระแทกกระดานไม้ดังแข่งกัน

ไม่มีใครอยากออกทะเลแล้วพบคลื่นมรณะ เพราะไม่เคยมีใครรอดชีวิต

…เพราะมันหาใช่คลื่นอันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ…

“เซเรส ไวป์!” 

คอเสื้อถูกกระชากอย่างแรงให้เผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวของพันเอกแห่งกองทัพเรือ หากแต่นัยน์ตาสีดำกลับพริ้วไหวไปด้วยความท้าทายและเหยียดหยัน “บอกลาเรือลำน้อย ๆ ของเจ้าได้เลย” ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงของผู้ชนะ

“แต่ข้าผนึกพลังของเจ้าไปแล้ว!”

นัยน์ตาสีดำหลุบมองข้อมือของตนที่ถูกพันธนาการ เห็นรอยสักรูปโซ่สีดำสามเส้นปรากฏอย่างเลือนรางรอบข้อมือของตน…สัญลักษณ์ของการ ‘ปิดผนึก’ อันเป็นตราประจานตัวตนของ ‘โจรสลัดผู้ถูกท้องทะเลทอดทิ้ง’

หากแต่ชายหนุ่มกลับยังคงเหยียดยิ้มอยู่เช่นเดิม

เจ้า…”

“ลาล่ะ”

สิ้นคำนั้น คลื่นมรณะก็เคลื่อนตัวมาถึงเรือราชนาวี เกลียวคลื่นโหมกระหน่ำกระแทกกราบเรืออย่างแรงจนเรือแทบพลิกคว่ำ หากแต่มากพอให้เหล่าลูกเรือไม่อาจรั้งสติไว้ได้เมื่อเห็นเพื่อนร่วมชะตากรรมถูกแรงกระแทกจนตกลงไปสู่ความมืดมิดของท้องทะเล

“พันเอก ทำอย่า…!!” เสียงกัปตันเรือถูกกลืนลงลำคอเมื่อดวงตาสะท้อนภาพของยอดคลื่นมรณะสูงเหนือเสากระโดงเรือ

และเพียงแค่พริบตาเดียวเรือราชนาวีทั้งลำ เหล่ากะลาสีเรือ และนาวิกโยธินร่วมครึ่งร้อยก็ถูกกลืนหายไป…

…ผิวน้ำนิ่งสงบราวกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์ใด…

ไร้ร่องรอยให้ควานหา 

…ไม่มีแม้แต่ผู้รอดชีวิต

เช่นเดียวกับผู้ที่สร้าง ‘คลื่นมรณะ’ ผู้นั้น ราวกับว่าเกลียวคลื่นมฤตยูได้กลืนกินผู้สร้างเข้าไปแล้วด้วยเช่นกัน

“ตำนานเล่าขานนานนับพันปี นับแต่มนุษย์รู้จักการเดินเรือ

แลเนิ่นนานกว่าร้อยปีของประวัติศาสตร์แห่งโจรสลัด

มีเพียงราชันย์โจรสลัดผู้ครอบครองพลังควบคุมผืนน้ำ

แลยามนี้ประวัติศาสตร์ร่วมจารึก

เซเรส ไวป์

ราชันย์แห่งโจรสลัดคนสุดท้ายจากไปพร้อมคลื่นมรณะ

กุมความลับของท้องทะเล

ไม่มีผู้ใดได้พบเห็นนับตั้งแต่วันนั้น”

.

.

To Be Continued

#เล่ห์กลกะโหลกไขว้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *