Chapter 4 : Recruit
มหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่…
กว้างใหญ่เสียจนไม่รู้ว่าขอบเขตอยู่ที่ใด ไม่รู้ว่าบนผืนน้ำที่ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้นั้นมีอันตรายใดรออยู่บ้าง ไม่รู้ว่ามีสัตว์ประหลาดหรือสิ่งลี้ลับอะไรที่จะมาพรากชีวิตพวกตนไปหรือไม่
ความไม่รู้นำพามาซึ่งความหวาดกลัว…จากสิบปี เป็นร้อยปี จนย่างสู่พันปีที่ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าย่างกรายออกจากแผ่นดินเพื่อเผชิญกับสิ่งที่ตนไม่รู้
มหาสมุทรจึงกว้างใหญ่กว่าเดิม แต่ก็เงียบเหงาอย่างทวีคูณด้วยเช่นกัน…
จวบจนกระทั่งมีมนุษย์กลุ่มหนึ่งค้นพบบันทึกเก่าแก่ที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินของโบสถ์ที่ถูกทิ้งร้าง เนื้อหาบนหน้ากระดาษเหลืองกรอบกล่าวถึงการมีอยู่ของ ‘เรือโนอาห์’
เรือ คือคำที่แปลกใหม่ จนได้เห็นแบบร่างของมัน
ดวงตาสามคู่เบิกกว้าง และเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เพราะเรือที่ว่านี้…สามารถลอยอยู่บนผิวน้ำทะเลได้!
บันทึกนั้นไร้คำบอกเล่าถึงวิธีการสร้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขายอมแพ้ เพราะนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็เริ่มขบคิดหาวิธีการก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งผืนน้ำ ค้นคว้า ทดลอง และวิเคราะห์ทฤษฎีต่าง ๆ นำสิ่งเหล่านั้นมาประกอบสร้าง เพื่อคิดค้นสิ่งประดิษฐ์สักอย่างที่จะพาให้มนุษย์ได้สัมผัสความกล้าวใหญ่ไพศาลของผืนทะเล
หลังจากผ่านการลองผิดลองถูกพร้อมถูกตราหน้าว่าสติไม่สมประกอบมากว่าสิบปี ในที่สุดพาหนะลำแรกก็ถือกำเนิด เรือไม้ที่ขนาดพอให้มนุษย์เพศชาย 3 คนเข้าไปนั่งได้อย่างไม่แออัด และต้องใช้แรงงานมาช่วยใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘ไม้พาย’ มาช่วย ‘พาย’ เรือ
เรือลำน้อยถูกดันให้ออกจากชายหาด ท้องเรือได้สัมผัสเกลียวคลื่นด้วยแรงพายจากชายหนุ่มสองคน โดยมีอีกคนคอยจดบันทึกการทดลองครั้งที่พัน พวกเขาเต็มใจตัวเปียกปอนหากเรือที่ผ่านการทดสอบลอยน้ำมาร่วมพันกว่าครั้งจะพลิกคว่ำหรือจมลงใต้ผืนน้ำ
หากแต่ครานี้…ครั้งที่ 1,001 พวกเขาก็ลอยอยู่บนผิวน้ำในที่สุด
วินาทีแห่งชัยชนะ!
ทั้งสามเริ่มมีกำลังใจ และพัฒนาเรือของพวกเขาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเรือมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเรือลำแรกหลายเท่า และสามารถโลดแล่นอยู่ท่ามกลางท้องทะเลได้เป็นเวลาหลายวันโดยที่ไม่ต้องใช้ไม้พายอีกต่อไปแล้ว เพราะพวกเขามี ‘ใบเรือ’ ที่ช่วยรับแรงลม และทำให้เรือเคลื่อนที่บนผืนน้ำได้
และตั้งแต่นั้นมา…พวกเขาก็ออกเดินทาง ก่อกำเนิดแผนที่เป็นร้อย ๆ แผ่น จนทำให้มนุษย์รู้ว่า ท้องทะเลนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ตนคิด และยังมีแผ่นดินใหญ่อีกหลายแห่งที่ยังว่างเปล่า และเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานไม่น้อยไปกว่าแผ่นดินบ้านเกิดของตน
หลายคนเริ่มเจริญรอยตาม ใช้ความรู้ที่ได้จากผู้กล้าเหล่านั้นออกเรือ และเริ่มตั้งรกรากในแผ่นดินต่าง ๆ การค้าทางทะเลจึงเกิดขึ้น และค่อย ๆ เฟื่องฟูขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบมนุษย์กลุ่มแรกที่กล้าออกทะเล ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับขนานนามว่า ‘ผู้กล้าแห่งมหาสมุทร’
แต่แล้ววันหนึ่งที่เหมือนฝันร้าย ระหว่างที่ผู้กล้าแห่งมหาสมุทรออกเรืออย่างเช่นทุกครั้ง ก็เกิดพายุฝนโหมกระหน่ำกลางทะเล ลมกรรโชกแรงกระแทกเสากระโดงเรือให้โค่นลง ใบเรือฉีกขาด คลื่นแรงซัดกระแทกตัวเรือจนโคลงเคลง ลมแรงพัดซ้ำเติม จนในที่สุด…เรือลำนั้นก็อับปาง
สองชีวิตรอดกลับมาด้วยถังไม้ แต่อีกหนึ่งชีวิตกลับสูญสิ้น
นั่นคือสิ่งที่เชื่อกันโดยสนิทใจจนกระทั่ง…
…เรือลำนั้นที่ควรจะอับปางกลับแล่เข้าสู่ฝั่ง เช่นเดียวกับหนึ่งในผู้กล้าผู้ถูกคิดว่าถูกเกลียวคลื่นกลืนหายไปเสียแล้ว แต่เขารอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์…แม้มีบางอย่างเปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์
คนผู้นั้นทำให้เรือแล่นได้แม้ไม่มีลมเกื้อหนุน สามารถทำให้สิ่งที่จมอยู่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำได้แม้ไม่ต้องลงไปใต้น้ำ และที่สำคัญนั้น คือการที่เขาสามารถยืนบนน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์…
ว่ากันว่าคนผู้นั้นได้พรวิเศษจากจ้าวผู้ปกครองมหาสมุทร จึงได้รับความสามารถในการควบคุมน้ำ โลดแล่นไปในท้องทะเลโดยไม่ต้องกลัวว่าน้ำทะเลจะกลายเป็นศัตรู
ไม่มีหลักฐานใด ๆ ยืนยันว่าเรื่องเล่านั้นเป็นจริงหรือไม่…แต่การที่หนึ่งในผู้กล้าแห่งมหาสมุทรมีพลังเช่นนั้นทำให้ทุกคนเชื่อสนิทใจ อีกทั้งยังถ่ายทอดพลังบางส่วนให้อีกสองผู้กล้าให้มีความสามารถใกล้เคียงกัน
แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ในราตรีหนึ่ง…สมอเรือถูกชักขึ้นจากใต้สมุทร เชือกถูกปลดพร้อมใบเรือที่โบกสะบัดท้าลมทะเล แล้วเรือลำใหญ่ของเหล่าผู้กล้าก็แล่นออกจากฝั่ง และหายลับไปท่ามกลางความมืดมิดสุดลูกหูลูกตา
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหายไปไหน…
…จนกระทั่งเมื่อวันเวลาผันผ่านไปราว 10 ปี เหล่าผู้กล้าก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่มาพร้อมกับธงกะโหลกไขว้บนยอดเสาซึ่งนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินแก่ผู้ที่พบเห็น
‘เหล่าผู้กล้า’ กลายเป็น ‘โจรสลัด’
และผู้กล้าที่ได้รับพรวิเศษจากจ้าวผู้ปกครองมหาสมุทรผู้นั้น…ก็ได้รับการขนานนามว่า ‘ราชันย์แห่งโจรสลัด’
.
.
.
กลิ่นหอมของไม้เซจเคล้ากลิ่นอ่อน ๆ ของเกลือทะเลชวนให้ผ่อนคลายนั้นอบอวลไปทั้งห้อง แต่บรรยากาศกลับตรงกันข้าม มันช่างอึดอัดและเงียบกริบแม้กระทั่งหลังจากร่างสูงในเครื่องแบบของทหารเรือพร้อมบั้งสีเขียวและมีเส้นสีทองสามเส้นพาดผ่านรายงานเสร็จเรียบร้อย ดวงตาสีฟ้ามองตรงไปยังชายอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะมะฮอกกานีตัวใหญ่ ในมือของชายผู้นั้นมีหนังสือเล่มหนึ่งที่เปิดหน้าค้างไว้
หากแต่นาวาโทแคร์รี่ วอลเลซก็ไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังอ่านอยู่จริง ๆ หรือไม่ แต่ที่เขามั่นใจได้เลยนั้นคือ เขาคงไม่สามารถออกจากห้องนี้ไปโดยไร้คำติ
“คนที่รอดมา…” ในที่สุดผู้บังคับบัญชาของเขาก็เอ่ยปาก “…มีแต่เจ้าอย่างนั้นสินะ?”
ลมหายใจของแคร์รี่เผลอชะงักไป ความรู้สึกหนักอึ้งยังคงอัดแน่นอยู่ในอกมาตั้งแต่เมื่อคืน เพราะเบื้องหน้าคือร่างไร้ชีวิตของทหารเรือผู้เฝ้าหออาลักษณ์ ในขณะที่เบื้องหลังคือแอ่งเลือดจากร่างกายของลูกน้องในกองที่ตนพาไป
อารมณ์ความรู้สึกผสมปนเปในร่างกายจนปวดมวนในท้อง ใจหนึ่งเขาโกรธแค้นที่บรรดาพี่น้องทหารเรือโดนสังหาร
แต่ในขณะเดียวกัน เขากลับเข้าใจว่าทำไมทหารเรือชั้นผู้น้อยผู้รอดจากเงื้อมมือของอิไล บลายน์ จึงถูกสังหารโดยชายชุดดำที่ปิดหน้าปิดตา เพราะมันคงไม่ใช่การดีแน่หากมีใครสักคนในกองทัพเรือไปโพนทะนา
ไม่ใช่แค่ไม่ดีต่อเขาซึ่งเป็นทหารยศสูงของกองทัพเรือ แต่ยังไม่ส่งผลดีต่ออีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
บางครั้งเขาก็นึกตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจเช่นนั้น จนทำให้ตัวเองอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
“ผู้พัน”
แคร์รี่กะพริบตาช้า ๆ เมื่อโดนเรียกช้าอีกครั้ง “ใช่ขอรับ” เขาตอบเสียงดังฟังชัด
มือกร้านแดดของคนถามปิดหนังสือดังฉับก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ นัยน์ตาคมหากแต่ดุดันด้วยหัวตาที่กดลงลึกตวัดมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้า “ข้าควรรู้สึกอย่างไรดีกับการเสียทหารเรือไปตั้งกี่ชีวิตภายใต้เงื้อมมือของโจรสลัดแค่คนเดียว” เขาถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ หากแต่สายตากลับตรงกันข้าม “ไม่เพียงเท่านั้น แผนที่ของเซเรส ไวป์ก็ยังโดนขโมยไปอีก”
แคร์รี่ได้ยืนเงียบ เพราะเขาไม่อาจหาข้อแก้ตัวใด ๆ มาลบล้างได้เลย
“เป็นความผิดของข้าเอง”
“ใช่ เป็นความผิดของเจ้า ผู้พัน” น้ำเสียงเด็ดขาดสวนกลับทันที “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่สุนัขที่เลี้ยงไม่เชื่องตัวนั้นได้แผนที่ของเซเรส ไวป์ไป จะส่งผลเสียต่อน่านน้ำและกองทัพเรือโลกมากแค่ไหน”
นาวาโทวอลเลซขบกรามแน่นพร้อมกับหลุบตาลง เพราะไม่กล้ามากพอจะสบสายตาคาดโทษและคมกริบของผู้บังคับบัญชา “ข้าทราบ” เขาตอบ
“เพราะฉะนั้น…” เสียงของอีกฝ่ายเงียบไป แต่ตามมาด้วยเสียงลิ้นชักถูกดึงเปิดออก ตามด้วยเสียงแผ่นกระดาษกระทบกันชวนให้คู่สนทนาเงยหน้าขึ้นมอง แคร์รี่จึงได้เห็นว่าผู้บังคับบัญชากำลังใช้ปากกาขนนกเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษ
เขาสังหรณ์ว่าข้อความจากน้ำหมึกที่ปลายปากกาขนนกนั้นจะเป็นคำสั่งที่เกินจะคาดคิด
“…เราจะต้องตามล่าบลายน์ให้เร็วที่สุด” อีกฝ่ายพูดต่อในขณะที่ยังเขียนคำสั่งบนแผ่นกระดาษ
แคร์รี่ขมวดคิ้วตาม “แต่เราสูญเสียกำลังพลไปมาก คาดว่ากว่ากำลังเสริมจากหน่วยย่อยต่าง ๆ น่าจะอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์…”
“รอนานถึงขนาดนั้น ไม่รอให้บลายน์หาสมบัติเจอไปเลยไม่ดีกว่าเรอะ?”
ผู้พันหนุ่มถึงกับอับจนด้วยคำพูดแม้จะยิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิม นับจากวันนั้นที่เขากล่าวถึงความเป็นไปได้ที่สิ่งที่อิไลกำลังตามหาอยู่นั้น คือ ‘สมบัติ’ ผู้บังคับบัญชาก็ตัดสินใจในไม่กี่นาทีว่า สมบัตินั้นคือ ‘สมบัติของราชันย์แห่งโจรสลัด’ เช่นนั้นแล้ว เป้าหมายต่อไปของอิไลก็คงไม่พ้นหออาลักษณ์
ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่อีกฝ่ายคาดการณ์
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป” น้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยขึ้นในจังหวะที่แคร์รี่กำลังตั้งข้อสังเกต ผู้บังคับบัญชาของเขาใช้ตราปั๊มประจำตำแหน่งประทับปิดท้าย ปลายนิ้วก็ดันกระดาษแผ่นนั้นออกจากตัว นิ้วชี้เคาะที่หัวกระดาษสองสามครั้งแทนการบอกกล่าวให้เขาเดินมาหยิบไปดูเอง
นัยน์ตาสีฟ้ากวาดอ่านตัวหนังสือบนนั้นคร่าว ๆ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที
“ผู้การ…”
“เกณฑ์ชาวบ้านเพศชายที่มีกำลังพอเดินเรือและจับอาวุธมาร่วมทัพกับกองเรือที่จะไปตามล่าบลายน์” ผู้บังคับบัญชาเอ่ยสวนทันทีด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “มอบเงินให้ครอบครัวหนึ่งก้อน และหากมีชีวิตรอดกลับมาได้ กองทัพเรือจะมอบเงินรางวัลให้อีกก้อน”
แคร์รี่รู้สึกได้ถึงความคิดต่อต้านที่เด่นชัดภายในกาย
รอดชีวิตกลับมางั้นหรือ? การเผชิญหน้ากับโจรสลัดเช่นอิไลคนนั้นจะมีความเป็นไปได้ที่จะรอดชีวิตกลับมาได้เท่าไรกันเชียว และเขาก็มั่นใจด้วยว่าคำว่า ‘เกณฑ์’ ที่อีกฝ่ายพูดนั้น หาใช่การสมัครใจแต่อย่างใด
“ผู้การ ชาวบ้านที่ใช้อาวุธไม่เป็นมีแต่จะเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งนะขอรับ” เขาแย้ง
“แต่หากปล่อยให้บลายน์ได้สมบัติของราชันย์ไป พวกเขาก็จะไม่เหลือแม้แต่ชีวิตเช่นกัน”
มาถึงตรงนี้แคร์รี่ชักเริ่มสงสัยมากขึ้นทุกที…ว่าสมบัติของเซเรส ไวป์นั้นคืออะไร เพราะเจ้าตัวไม่เคยเอ่ยถึง และมีทีท่าที่ไม่อยากพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่เส้นอารมณ์กลับขาดสะบั้นเมื่ออิไลได้แผนที่ไป
สมบัติของราชันย์แห่งโจรสลัดคืออะไรกันแน่? ควรค่าแก่การสละชีวิตของพลเมืองขนาดนั้นเชียวหรือ?
“ไม่สำคัญหรอกว่ามันคืออะไร”
แคร์รี่ชะงักไปเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่สงสัยจะฉายชัดเต็มใบหน้าเสียจนอีกฝ่ายคาดเดาความคิดของเขาได้
“เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สิ่งนั้นจะทำให้ยุคของโจรสลัดกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง และนั่นคือสิ่งที่พวกเรา ทหารเรือจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!”
ด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเช่นนี้ ซ้ำยังเป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชากองทัพเรือโลก มีหรือที่นาวาโทแคร์รี่จะขัดขืนได้ เขาม้วนแผ่นคำสั่งเก็บอย่างเรียบร้อย ก่อนยกมือขึ้นเหยียดนิ้วแตะที่ขมับขวาเพื่อทำความเคารพ
“รับทราบขอรับ” เขารับคำก่อนลดมือลงและตั้งท่าจะผละจากไป แต่เมื่อร่างสูงใหญ่กำลังจะหันหลังนั้น ก็ถูกรั้งไว้อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ทำให้หายใจไม่ทั่วท้องเท่าไรนัก
“ผู้พัน”
แคร์รี่กลับมายืนตัวตรงอีกครั้ง “ขอรับ”
“เมื่อคืนนี้หากไม่นับบลายน์และเจย์เดน ก็มีแค่เจ้างั้นหรือ?”
นัยน์ตาสีฟ้าสบมองแววตาคมกริบที่ราวกับกำลังทะลุทะลวงความคิดของเขา แคร์รี่พยายามสงบใจในขณะที่เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยยามตอบคำถาม หากการที่อีกฝ่ายจัดกลุ่มอิไลและเทรย์ไว้ด้วยกันเช่นนี้ เดาได้ไม่ยากว่ากำลังพูดถึงโจรสลัดรายอื่น
“ขอรับ” เขาตอบชัดถ้อยชัดคำด้วยความมั่นใจ “โจรสลัดที่หออาลักษณ์เมื่อคืนนี้มีเพียงอิไล บลายน์ และเทรย์ เจย์เดนเท่านั้น”
เพราะอีกคนภายใต้นามใหม่ในตอนนี้เป็นเพียงแค่พลเมืองเท่านั้น
“งั้นหรือ?” น้ำเสียงดุดันแผ่วลงเล็กน้อย แล้วเจ้าตัวก็ขยับตัวมาข้างหน้าพร้อมกับการเท้าข้อศอกทั้งสองข้างกับโต๊ะ ปลายนิ้วที่ประสานกันแตะไปที่พื้นที่ระหว่างจมูกและริมฝีปากบนในขณะที่แววตาคมจ้องมองร่างสูงใหญ่ของนาวาโท “เจ้ารู้ใช่ไหมว่า ผู้ที่ต้องนำทัพไปตามล่าบลายน์…ก็คือเจ้า?”
แคร์รี่หลุบสายตาลงต่ำเล็กน้อย แน่นอนว่าเขารู้ข้อนั้นดีแม้ผู้บังคับบัญชาไม่เอ่ยปาก เพราะมันคือการชดเชยที่ทำให้กองทัพเรือโลกสูญเสียกำลังพลไปมากเช่นนี้ “ข้าทราบขอรับ” เขาตอบ
“ดี เพราะฉะนั้นข้าจะรอฟังข่าวดีในอีกสามวัน”
“ขอรับ ผู้การมอริส วอล์คเกอร์”
###
ร้านอาหารข้างทางแบบเปิดโล่งข้างจัตุรัสใจกลางพอร์ทรอยัลยังคงคึกคักเหมือนเช่นทุกวัน ยิ่งในยามใกล้เที่ยงวันก็ยิ่งเห็นชาวเมืองออกมาจากจับจ่ายซื้อของกันอย่างหนาตา และลานกว้างก็เต็มไปด้วยเด็ก ๆ ตัวน้อยที่วิ่งเล่นท้าแดดอย่างสนุกสนานและไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย
หากว่ากันตามตรงแล้ว…ในสายของเจมส์ ฟอรัส ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่ถ้าหากถามถึงความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คงเป็นการที่ชาวบ้านจับกลุ่มซุบซิบกันอย่างชัดเจน วงเล็กวงใหญ่ก็สุดแล้วแต่คนต้นเรื่องจะสามารถต่อเติมเสริมแต่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ได้ถึงใจมากแค่ไหน…
“เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้างเจมส์?”
…รวมไปถึงวงสนทนาที่ร้านอาหารซึ่งเขากำลังนั่งรออาหารกลางวันมาบริการถึงโต๊ะเช่นกัน
“เรื่องอะไรหรือ?” เขาถามกลับพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย “โอ๊ะ ขอบคุณ” เขาเสริมท้ายเมื่อพนักงานของร้านที่คุ้นเคยกันดีนำสตูเนื้อพร้อมขนมปังที่เขาสั่งมาวางตรงหน้า กลิ่นหอมของเนื้อที่เคี่ยวจนเปื่อยเคล้ากลิ่นเครื่องเทศชวนให้น้ำลายสอและลืมเรื่องที่โดนถามไปได้อย่างง่ายดาย
“ก็เรื่องหออาลักษณ์เมื่อคืนไงเล่า!” ดีนตอบพร้อมกับทุบโต๊ะเบา ๆ “ทหารเรือปิดข่าวกันจ้าละหวั่นว่าถูกโจรสลัดบุก แถมยังไม่มีใครรอดชีวิต!!”
เจมส์ร้องอ๋อเบา ๆ ในลำคอขณะบิขนมปังจิ้มสตูสีน้ำตาลเข้ม ดีนผู้นี้เป็นลูกน้องในแผงขายปลายามเช้าเจ้าประจำของเขา อายุเจ้าตัวก็ราว ๆ 18 ปีเท่านั้น “ปิดข่าวกันจ้าละหวั่นแต่ยังเล็ดรอดมาถึงหูเจ้าได้…” เขาแซวและหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “…แบบนี้เรียกว่า ปิดกันให้แซ่ด จะดีกว่าไหม?”
“จะปิดอย่างไรไหวเล่า เพราะชาวประมงที่ออกเรือเมื่อคืนเห็นกันเต็มตาว่าเรือเดม่าอยู่นอกชายฝั่งพอร์ทรอยัลน่ะ!”
“เรื่องนี้ข้ายืนยันเลย เพราะข้าเองก็เห็น” คราวนี้เป็นลูกค้าชายอีกคนที่เจมส์ไม่รู้จักหน้าค่าตาเอ่ยแทรกพร้อมกับการเอนศีรษะมาร่วมวงสนทนา “ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังเห็นอิไล บลายน์วิ่งบนผิวน้ำเพื่อกลับไปขึ้นเรือด้วย!”
“อ้อ…” เจมส์ทำเสียงตอบรับก่อนโยนขนมปังจิ้มสตูเข้าปากอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ดีนขมวดคิ้วมุ่น “อะไรกันเจมส์ ไม่ตื่นเต้นเลยหรือ?” เขาถามพลางย่นจมูกด้วยความหมั่นไส้
“เมื่อคราวก่อนที่น่านน้ำเมืองเคนท์ เรือสำเภาก็ถูกโจรสลัดปล้น…” เจมส์ตอบในขณะที่โคลงหัวไปมาพร้อมขนมปังในปาก “…ต่อจากนั้นก็เป็นหอนิรภัยที่ถูกบุก ทหารเรือถูกสังหารที่ผาลงทัณฑ์ แล้วเมื่อคืนหออาลักษณ์ก็ถูกโจรสลัดปล้น ข้าถามจริงนะ…” แล้วเขาก็หยิบก้อนขนมปังขึ้นชี้หน้าดีน “…มันยังมีอะไรที่น่าตื่นเต้นและประหลาดใจยิ่งกว่านี้อีกหรือ?”
ดีนทำท่าจะงับขนมปังก้อนนั้นอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เจมส์ก็ชักมือกลับมาได้ทันเสียก่อน
“ที่เจ้าพูดก็ถูก” เจ้าของร้านสาวใหญ่ผู้เป็นแม่หม้ายเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาพร้อมพายแอปเปิ้ลขนาดเท่าฝ่ามือสองข้างประกบกัน รอยยิ้มหวานหยดจงใจมอบให้ลูกค้าหนุ่มผู้ที่กำลังกินสตูของร้านเธออย่างเอร็ดอร่อย
“เจ้าไม่เคยบอกว่าเจมส์พูดผิดหรอก!” ดีนแย้ง
“แล้ว?”
ผู้เป็นศูนย์กลางของเรื่องกลับทำเพียงหัวเราะเบา ๆ และเอ่ยขอบคุณสาวใหญ่ผู้ชอบแถมของหวานพร้อมสายตาเชิญชวนตบท้ายอยู่เรื่อยไป แม้เขาเองไม่เคยมีท่าทีตอบรับ แต่อีกฝ่ายก็ดูไม่ยอมแพ้เสียที อย่างตอนนี้ก็เบียดดีนให้ย้ายไปนั่งเก้าอี้ตัวอื่น ส่วนเจ้าหล่อนนั้นก็ยึดที่นั่งข้าง ๆ ชาวประมงหนุ่มหน้าตาเฉย
ดีนได้แต่ยู่หน้าใส่แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเธอเป็นเจ้าของร้าน เขาจึงได้แต่ยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ แทน
“จะว่าไปแล้ว รู้สึกไหมว่าช่วงนี้จู่ ๆ โจรสลัดก็อาละวาดหนักขึ้นเรื่อย ๆ?” ลูกค้าที่เจมส์ไม่รู้จักชื่อตั้งข้อสังเกต “ก่อนหน้านี้ดูสงบเสงี่ยมมาก ๆ ถึงจะยังมีเหตุปล้นเรือสำเภาอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ถี่น้อยลงมาก”
“ข้าเคยได้ยินเจ้านายข้าเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่เซเรส ไวป์ถูกจับน่านน้ำก็สงบสุขขึ้นมากเลยทีเดียว” ดีนเปรยอย่างไม่มั่นใจเท่าไรนัก
“ไม่ใช่แค่ถูกจับ แต่น่าจะจมหายอยู่ใต้ทะเลแล้วด้วย” อีกฝ่ายพูดอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับตีเนียนขยับเก้าอี้มานั่งร่วมวงด้วย “เมื่อห้าปีที่แล้วเจ้าอาจจะยังเด็กเลยไม่รู้ แต่ข้าบอกได้เลยว่าตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่ไปทั้งเจ็ดน่านน้ำ! เพราะไม่ใช่แค่ไวป์ที่จมน้ำหายไป แต่ทหารเรือทุกนายที่ล้อมจับก็ถูกคลื่นมรณะกลืนสู่ใต้ท้องทะเล ไม่เหลือแม้แต่ชีวิตเดียวรอดกลับมา หากจะบอกถึงสิ่งที่เหลือรอดมาได้ ก็คงมีแค่เรือไวเปอร์ของไวป์ที่กองทัพเรือยึดมาได้ และเหล่าลูกเรือที่ไวป์ช่วยให้รอดชีวิตไปได้”
ดีนกะพริบตาปริบ ๆ ดวงตาขยับหลุกหลิกไปมาคล้ายคนกำลังครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะกวักมือให้ทุกคนสุมหัวเข้าใกล้กันมากกว่าเดิม ส่วนเจ้าตัวนั้นก็ยกมือขึ้นป้องปากราวกับกำลังพูดความลับสำคัญ “หรือว่า…เซเรส ไวป์กลับมาแล้ว!” เขากระซิบกระซาบ “ไม่อย่างนั้นพวกโจรส…โอ๊ย!” แล้วก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อโดนปลายนิ้วแข็ง ๆ ดันหน้าผากแรง ๆ “เจมส์!” เด็กหนุ่มโวยวายเสียงดัง
“โดนคลื่นมรณะกลืนไปขนาดนั้น มีชีวิตรอดมาได้ก็บ้าแล้ว” เจมส์แค่นเสียงหัวเราะในลำคอขณะหดมือกลับเมื่อจะโดนเจ้าเด็กงับนิ้วเอา
“โธ่! แล้วเจ้าไม่สงสัยหรืออย่างไรที่จู่ ๆ โจรสลัดก็กลับมาอาละวาดเช่นนี้น่ะ” ดีนบ่นพลางลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ
ชาวประมงหนุ่มทำเพียงไหวไหล่เล็กน้อยแทนคำตอบก่อนก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าต่อ “สงสัยสิ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อหน้าที่จับโจรสลัดเป็นหน้าที่ของกองทัพเรือ ไม่ใช่หน้าที่ของพลเมืองเสียหน่อย” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนเปลี่ยนจากของคาวเป็นของหวานอย่างพายแอปเปิ้ลที่เขาไม่ต้องเสียเงินสักเหรียญเพื่อให้ได้มา และดูเหมือนแม่หม้ายผู้นี้พอใจเหลือเกินที่เขาหันมากินของหวานเสียที
“สูตรใหม่ของร้านเลยล่ะ เจ้าลองชิมดู” เธอแนะนำอย่างกระตือรือร้น
“ขอบใจ” เจมส์ยิ้มกว้างก่อนกัดพายอบเสร็จใหม่เต็มคำ เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยโดนไม่สนใจสายตาหมั่นไส้ของเพื่อนร่วมวงอายุน้อยกว่าและคนแปลกหน้า เขาปล่อยให้สองคนนั้นที่ดูท่าแล้วคงจะกลายเป็นสหายต่างวัยในไม่ช้าคุยกันต่อไป ส่วนตัวเขานั้นก็ละเลียดลิ้มรสหวานอมเปรี้ยวของแอปเปิ้ลไปอย่างไม่รีบร้อน
แม้นั่นเป็นเพียงท่าทีที่เขาแสดงออกไปก็ตาม
สิ่งที่ดีนพูดใช่ว่าเขาไม่สงสัย ผ่านมาห้าปีแล้วที่โจรสลัดอยู่อย่างสงบเสงี่ยมมากขึ้น สาเหตุหลักนั่นก็เพราะจำนวนของ ‘กัปตันโจรสลัด’ ไม่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว แม้กัปตันเรือคนเก่าสามารถถ่ายทอด ‘พลัง’ ให้กัปตันเรือคนใหม่ได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงการถ่ายโอนพลังจากอีกคนสู่อีกคน หาใช่การ ‘เพิ่ม’ กัปตันเรือคนใหม่
เพราะราชันย์แห่งโจรสลัดไม่อยู่อีกแล้ว
เช่นนั้นแล้ว เหตุใดอยู่ดี ๆ อิไล บลายน์ถึงเคลื่อนไหวอย่างอุกอาจและเอิกเกริกนัก…แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของอีกฝ่ายก็ตามที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจาะจงค้นหา ‘สมบัติของเซเรส ไวป์’ อย่างไม่มีที่มาที่ไปนี่อีก
ไม่สิ เจมส์คิดแย้งในใจ…คำถามที่สำคัญยิ่งกว่าคำถามใด ๆ นั่นก็คือ ‘รู้’ ได้อย่างไรว่ามีสมบัติของเซเรส ไวป์ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ย่ามใบน้อยแต่จุของได้มากอย่างน่าอัศจรรย์อัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์จำเป็นมากมาย และในเวลานี้มันอยู่ในบ้านหลังน้อยของเขา
ทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเพียงแค่เวลาเหมาะ ๆ และโอกาสดี ๆ ที่จะออกจากท่า
แค่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขเท่านั้น แต่จ้าวแห่งมหาสมุทรไม่ปราณีกันเสียเลย ชายหนุ่มถอนหายใจยาวขณะเคี้ยวพายแอปเปิ้ลเงียบ ๆ
“ขอให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่จตุรัสเพื่อฟังประกาศสำคัญจากกองทัพเรือโลกเดี๋ยวนี้!”
แต่แล้วเสียงร้องประกาศที่ดังก้องไปทั้งตลาดกลางพอร์ทรอยัลทำเอาเจมส์ชะงัก รวมไปถึงสองหนุ่มที่แลกเปลี่ยนความเห็นกันไม่หยุด และพลเมืองแทบทุกคนที่มองหน้ากันด้วยความฉงน เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่กองทัพเรือโลกจะมีประกาศอะไรสักอย่างหากไม่นับเรื่องการประหารโจรสลัด ณ ที่แห่งเดียวกันนี้ แต่แม้สงสัยมากแค่ไหน ความอยากรู้ก็มีมากกว่า พวกเขาวางมือจากสิ่งที่ทำอยู่และมุ่งหน้าไปยังจัตุรัสกลางเมืองอย่างไม่รีรอ
“ใจเย็นน่าดีน” เจมส์ปรามเด็กหนุ่มที่ผุดลุกขึ้นและคว้าข้อมือเขาให้เดินไปด้วยกัน และฝ่าฝูงชนเข้าไปจนเกือบไปยืนอยู่แถวหน้าหากเจมส์ไม่ขืนตัวไว้เสียก่อน ตอนนี้ทั้งสองจึงอยู่ท่ามกลางชาวเมืองที่ยืนไหล่ชนกันและล้อมทหารเรือยศชั้นผู้น้อยคนหนึ่งเป็นวงกลม ทหารเรือรายนั้นยืนอยู่บนแท่นที่ยกระดับขึ้นเหนือจากพื้นเล็กน้อย ในมือมีม้วนประกาศชวนสงสัย และลางสังหรณ์บอกเจมส์ว่าม้วนกระดาษนั้นไม่น่าไว้ใจเลย
ในที่สุดเมื่อทหารเรือเห็นว่าชาวบ้านทุกคนพร้อมแล้ว เขาก็หันไปหาชายหนุ่มอีกคนในเครื่องแบบซึ่งประดับด้วยบั้งยศนาวาโทคล้ายกับต้องการขอคำอนุญาต และเจมส์เองก็หันไปมองตามเช่นกัน สิ่งที่เขาประหลาดใจคือ สีหน้าที่คล้ายกับไม่เห็นด้วยของผู้พันวอลเลซ
“ประกาศจากกองทัพเรือโลก” นายทหารชั้นผู้น้อยเริ่มอ่านข้อความในม้วนกระดาษด้วยเสียงดังฟังชัด “เนื่องด้วยเกิดเหตุโจรสลัดอิไล บลายน์กระทำการอุกอาจ ปล้นและฆ่าชาวเมืองและทหารเรือจนสูญสิ้นชีวิตไปนับไม่ถ้วน กองทัพเรือโลกเห็นว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ความสงบสุขของพอร์ทรอยัลและเจ็ดน่านน้ำจะถูกทำลายจนสิ้น ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องจับตายโจรสลัดวายร้ายผู้นี้โดยเร็วที่สุด” เมื่อคำประกาศถูกเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็บังเกิดเสียงเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ ไปทั่วทุกสารทิศ
“พวกเราไม่อาจรอกำลังเสริมจากส่วนอื่นได้ ดังนั้นกองทัพเรือโลกจึงต้องเรียกตัวพลเมืองเพศชายในวัย 18 ถึง 40 ปีซึ่งเป็นผู้ที่มีกำลังมากพอเป็นกะลาสีเรือและจับมืออาวุธเข้าร่วมทัพเพื่อไปตามจบโจรสลัดบลายน์มาลงโทษให้เร็วที่สุดภายใต้การนำของนาวาโทแคร์รี่ วอลเลซ!” พลัน เสียงพูดคุยก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้งในขณะที่เจมส์ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความรู้สึกไม่เห็นด้วย
ให้ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องใด ๆ เข้าร่วมกองทัพงั้นหรือ?
“กองทัพเรือจะมอบเงินให้ครอบครัวของผู้เข้าร่วมภารกิจหนึ่งก้อน และหากมีชีวิตกลับมาได้หลังจบภารกิจ กองทัพเรือจะมอบเงินรางวัลให้อีกหนึ่งก้อน!”
การใช้คำว่า ‘เรียกตัว’ ในประกาศนั้นไม่ต่างจากการ ‘บังคับ’ เลยแม้แต่น้อย แม้จะมีเงินรางวัลมอบให้ แต่นั่นจะสู้เนื้อหนังมังสาของผู้เป็นที่รักได้อย่างไร? อีกประการ…ผู้ที่ไร้ทักษะการต่อสู้จะไปต่อกรกับโจรสลัดผู้โหดเหี้ยมอย่างอิไล บลายน์ได้อย่างไร? เช่นนี้แล้วมันจะต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้ง?
เขาไม่คิดหรอกว่ากองทัพเรือโลกจะฝึกอาวุธให้ และผู้การมอริส วอล์คเกอร์ก็คงไม่ใจกว้างเช่นนั้น
“ดังนั้นแล้วในอีกสามวัน ขอให้ผู้ที่เข้าเกณฑ์มารวมตัวกันที่จตุรัสแห่งนี้กันอย่างพร้อมหน้า!”
นั่นปะไร
เสียงเซ็งแซ่ด้วยความไม่พอใจระคนเห็นด้วยกับประกาศนั้นปะปนและอื้ออึงจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ยินเสียงของมารดาที่ร้องไห้โฮและเกิดลูกชายของเธอแน่น เสียงของภรรยาที่กอดสามีแน่น สหายสนิทกอดคอกันราวกับทำใจไว้แล้ว บรรยากาศรอบกายอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายเสียจนเจมส์ไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป
แม้เขาจะไม่เห็นด้วยนักกับการเรียกตัวชาวบ้านที่ไร้วิชาเข้าร่วมกองทัพ แต่มันก็เป็นประโยชน์กับเขามากเสียจนไม่รู้จะคัดค้านไปทำไม เขาหมุนตัวกลับ หมายจะเดินกลับไปที่ร้านอาหารของแม่หม้ายเพื่อจ่ายค่าอาหาร…
“เจมส์” แต่ตอนนั้นเองที่เสียงเรียกของเด็กหนุ่มข้างกายทำให้เขาชะงัก “ข้า…ก็ต้องไปงั้นหรือ?”
วินาทีนั้นเจมส์ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ดีนเพิ่งอายุ 18 เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง นั่นหมายความว่า…อีกฝ่ายเข้าเกณฑ์พอดี นัยน์ตาสีดำเหล่มองเสี้ยวหน้าที่แทบจะไร้สีเลือดของเด็กหนุ่มอย่างที่เขาไม่ประหลาดใจเลย
อายุเพียงแค่ 18 แต่ต้องไปเผชิญหน้ากับโจรสลัดผู้โหดเหี้ยมเสียแล้ว
“เหมือนจะเป็นเช่นนั้น”
“แล้วพ่อกับแม่ข้าจะอยู่กับใคร?”
“…”
“แล้วข้าจะรอดกลับมาไหมเจมส์?”
เจมส์ถอนหายใจยาวด้วยอับจนในคำพูด เขาทำได้เพียงตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ “กลับบ้านไปหาพ่อแม่เถอะ” เขาบอกอ้อม ๆ ก่อนทิ้งสายตาของตัวเองมองตามแผ่นหลังเล็กของเด็กหนุ่มที่คล้ายกับกำลังเดินอย่างล่องลอยกลับบ้าน
เห็นใจหรือ?…ก็อาจใช่ ในเมื่อเป็นคนที่อยู่ใต้อำนาจ ก็ไร้หนทางจะขัดขืน
ชายหนุ่มถอนหายใจสั้น ๆ อีกครั้งก่อนออกเดินออกจากวงล้อมที่เริ่มคลายตัวลง แม้รู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องแผ่นหลังของตนจากนาวาโทแคร์รี่ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่หันกลับไปมอง เพราะเขาแน่ใจว่าเย็นวันนี้ บ้านหลังน้อยของเขาจะได้ต้อนรับผู้พันคนดังแห่งกองทัพเรืออย่างแน่นอน
…และมันก็เป็นเช่นที่เขาคาดการณ์
ร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมพร้อมฮู้ดสีดำปรากฏตัวหลังบานประตู เจมส์เองก็ไม่รีรอที่จะเชื้อเชิญให้แขกเข้ามาก่อนที่ตนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารเย็นที่คั่งค้างไว้อยู่ให้เสร็จ “ข้าทำซุปมันฝรั่งจะเสร็จพอดี เจ้าอยากกินด้วยกันไหม?” เขาร้องถาม
“ก็ดี” แคร์รี่ตอบสั้น ๆ สายตาของเขาเผลอไปบรรจบที่ย่ามใบน้อยที่วางอยู่บนตั่งไม้ตัวเล็ก “เจ้าเตรียมของ?”
“อ่าฮะ” เจ้าของบ้านตอบขณะใช้ช้อนคันใหญ่ตักชิ้นมันฝรั่งหลายชิ้นใส่ถ้วย ตามด้วยมะเขือเทศอีกสองสามชิ้น และน่องไก่อีกสองชิ้น
“เจ้าไม่มีชื่อในสำมโนประชากร เจมส์” อีกฝ่ายว่าขณะมองเจ้าบ้านเดินกลับมายังโต๊ะกลางบ้านพร้อมด้วยถาดซึ่งมีชามซุปสองใบวางอยู่ “เพราะฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องไปหากเจ้าต้องการ”
“ว้าว หากชาวบ้านพูดคำนี้ได้ก็คงดี”
แคร์รี่พ่นลมหายใจพรืดเมื่อโดนเสียดสีเข้าอย่างจัง “ใช่ว่าข้าเห็นด้วย แต่ผู้การเร่งการออกเรือเสียจนไม่อาจรอทัพเสริมจากหน่วยย่อยอื่นได้” เขาว่าพลางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ข้ารู้ว่าเราควรเร่งไล่ตามบลายน์ เพียงแต่ข้าไม่คิดว่าควรเร่งมากเสียจนต้องเกณฑ์ชาวบ้านที่ไร้ทักษะด้านอาวุธมาร่วมกองทัพด้วยเช่นนี้”
“เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ตาแก่วอล์คเกอร์นั่นย่อมไม่เลือกวิธีการ” เจมส์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาขณะยกหนึ่งในชามซุปพร้อมช้อนอีกหนึ่งคันให้สหายสนิท เพิกเฉยสายตาที่ตวัดมองเขาอย่างไม่ชอบใจเท่าไรนัก “ดีไม่ดี เขาอาจจะต้องการสมบัติของเซเรส ไวป์ก็ได้ ใครจะรู้เล่า”
“แล้วสมบัตินั้นคืออะไร?” แคร์รี่ถามต่อทันที แต่สิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงการหลิ่วตาให้อย่างน่าโมโหเท่านั้น แล้วเขาจะทำอย่างไรได้นอกจากถอนหายใจยาว “สรุปแล้วคือเจ้าจะไป ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม?”
เจมส์พยักหน้ารับ “ข้าตัดสินใจแล้ว”
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?”
“เจ้าไม่ดีใจหรือ?” คิ้วเรียวขยับยกขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจแม้รอยยิ้มที่มุมปากนั้นบอกอย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังกวนโทสะอยู่ “อย่างน้อยก็มีคนที่รู้ความคอยแอบชี้แนะเจ้าผู้เป็นคนนำกองเรือในครั้งนี้ไม่ให้กองทัพเรือทะเล่อทะล่าไปในเขตที่ไม่ควรผ่าน เจ้าอาจได้รับคำชมและความไว้วางใจเพิ่มขึ้นเยอะเลยนา”
นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ลงอย่างไม่ชอบใจในคำวิจารณ์นั้นแม้ไม่อาจปฏิเสธได้เลย “ข้านึกว่าเจ้าจะภาวนาให้เรือของกองทัพเรือล่มไว ๆ เสียอีก” เขาตั้งข้อสังเกตก่อนเริ่มตักชิ้นมันฝรั่งชิ้นแรกเข้าปาก เบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อมันร้อนเกินไปจนแทบลวกลิ้น
เจมส์หัวเราะเบา ๆ “ข้าเคยบอกเจ้าหรือว่าข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น?” เขาถามพลางเหยียดยิ้มและใช้ช้อนบี้ก้อนมันฝรั่งช้า ๆ จนเละ “เสียใจด้วยที่ข้ายังคิดอยู่เช่นนั้นทุกวัน ไม่เพียงเท่านั้นข้ายังเคยเผลอคิดเลยว่า หากล่อให้คราเค่นมาทักทายกองเรือเสียหน่อย…ก็คงน่าสนุกไม่ใช่น้อย”
นัยน์ตาสีฟ้าตวัดมองฉับทันที ท่าทีทีทั้งทีเล่นทีจริงและหยอกเหย้านั้นไม่อาจทำให้แคร์รี่เดาใจอีกฝ่ายได้เลย “แล้วเหตุใดครั้งนี้เจ้าจึงคิดจะช่วยกองทัพเรือ?” เขาถาม
“ข้าไม่ได้จะช่วยกองทัพเรือ” เจมส์ตอบสวนกลับทันทีก่อนช้อนสายตาขึ้นมองผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “อย่างน้อยก็ช่วยเจ้าผู้เป็นสหายของข้า และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด…” วินาทีนั้น นัยน์ตาสีดำพลันแข็งกร้าว “…ก็คือเพื่อไม่ให้การเสียสละตัวเองของนางต้องสูญเปล่า นั่นเป็นสิ่งที่ข้ายอมไม่ได้และไม่มีวันยอม”
บรรยากาศระหว่างพวกเขาเงียบกริบ ต่างคนต่างไม่ขยับและไม่เอ่ยสิ่งใด จนกระทั่งคนที่เจ้าบ้านเป็นฝ่ายขยับกายก่อน เขาไหวไหล่เล็กน้อยเพื่อทำลายความกดดันในบรรยากาศก่อนเริ่มกินซุปมันฝรั่งที่เริ่มเย็นแล้วเสียที “อีกอย่าง ดีเสียอีกที่ข้าไม่ต้องเปลืองแรงออกเรือเอง”
แคร์รี่ทำเสียงในลำคอด้วยความหมั่นไส้ “เจ้าวางแผนไว้แล้ว”
เจมส์หัวเราะเบา ๆ แทนการตอบรับ
“สุดท้ายแล้วเกลียวคลื่นและมหาสมุทรก็ยังคงเพรียกหา”
คำพูดนั้นจากปากของนาวาโทแคร์รี่ออกจะแปลกอยู่สักหน่อยสำหรับทหารเรือยศสูง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ชวนให้คล้อยตามได้ไม่ยาก คนฟังได้ยินเช่นนั้นแล้วก็อดแค่นยิ้มออกมาไม่ได้ “ทะเลอาจคิดถึงข้าไม่ใช่น้อยเหมือนกัน…” ระหว่างที่เปรยนั้น นัยน์ตาสีดำก็วูบไหวด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย “…ห้าปีแล้ว แคร์รี่ ห้าปีแล้ว”
แคร์รี่หรี่ตามองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานเล็ก แม้ทิวทัศน์ภายนอกเป็นผนังของตึกฝั่งตรงข้าม แต่ก็เป็นทิศทางเดียวกับชายฝั่งทะเล ในความทรงจำของเขา เจมส์เคยเป็นคนที่สดใสมากกว่านี้ แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่าน กอปรกับประสบการณ์ที่พบเจอ ทำให้แม้อีกฝ่ายพยายามแสร้งทำตัวร่าเริงมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจกลบแววตาที่ติดเศร้าหมองยามเผลอได้ “เจมส” เขาเรียก
“ว่า?”
“สัญญากับข้าว่าอย่าทำแบบนั้นครั้งนั้นอีก” แคร์รี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น “เพราะข้าอาจช่วยเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
แต่ริมฝีปากบางกลับเหยียดยิ้มราวกับฟังเรื่องขบขัน “มีแต่คนอยากให้ข้าตายทั้งนั้น”
“แต่กับสหายแล้ว ข้าไม่คิดเช่นนั้น”
เจมส์สบมองนัยน์ตาสีฟ้าที่ตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยความหวังดีของสหายสนิทที่เขาเหลือเพียงคนเดียวแล้ว “เจ้าคงเป็นคนเดียวที่คิดเช่นนั้นกระมัง” เขาเปรยอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“นางเองก็ด้วย และในอนาคตก็ไม่แน่หรอก”
คนฟังหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อดื่มน้ำไปหนึ่งอึก “ข้าเองก็ไม่แน่ใจเรื่องนั้นนักหรอก” เขาเอ่ยขณะวางแก้วลงบนโต๊ะ ขยับวนไปมาอย่างเหม่อลอยเมื่อความคิดล่องลอยไปไกล “นอกจากนาง…ข้าก็ไม่รู้ว่าจะรักใครได้อีก”
“ข้าเห็นคนพูดเช่นนี้หลายคน สุดท้ายแล้วก็เจอรักใหม่ทั้งนั้น”
เจมส์หัวเราะเบา ๆ ให้กับคำแซวนั้น “ช่างเถิด เอาเป็นว่าอีกสามวันเจอกัน” เขาเอ่ยก่อนช้อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายพร้อมยกยิ้มเล็กน้อย “ข้าจะทำเป็นไม่รู้จักเจ้าก็แล้วกันนะ”
“และเมื่อขึ้นเรือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ช่วยเจ้าปกปิดไม่ได้แล้ว” แคร์รี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังซึ่งตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่ยังคงมีท่าทีไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ
“ไม่เป็นไร” เจมส์ว่า มือซ้ายเผลอยกขึ้นลูบแถบผ้าสีขาวที่ข้อมือขวาของตนอย่างแผ่วเบา “เจ้าช่วยข้ามามากพอแล้ว”
###
สายลมสดชื่นเคล้ากลิ่นทะเลโชยมาแตะจมูก ชายหนุ่มยิ้มรับด้วยความพึงพอใจขณะนอนเอนกายพิงถังไม้ซึ่งจัดวางตำแหน่งให้กลายเป็นที่นั่งพักผ่อนบริเวณหัวเรือได้อย่างพอดิบพอดี นัยน์ตาสีทองแดงสะท้อนภาพของผิวน้ำทะเลซึ่งเป็นประกายด้วยแสงสีส้มยามดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เช่นเดียวกับเส้นสายของแสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดส่องกระทบโครงร่างสมส่วนและผิวสีน้ำผึ้งของผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลมากกว่าบนบก ขาเหยียดยาวจนรองเท้าบูทที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักแทบเกยกับหัวเรือแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจนักแม้จะเคยถูกติติงอยู่บ่อยครั้ง
แม้ตรงหน้าจะเงียบสงบ แต่ข้างหลังของเขากลับโหวกเหวกโวยวายด้วยเหล่าลูกเรือที่ไม่เคยอยู่สุขกันได้เลยสักครั้ง
“กัปตัน” เสียงเรียกที่คุ้นหูไม่ได้ทำให้เขาละจากภาพตรึงใจตรงหน้า แต่ก็ทำเสียงตอบรับเบา ๆ ในลำคอ “ได้ข่าวจากสายแล้ว”
หากแต่เป็นประโยคถัดไปที่เรียกให้เทรย์หันหน้าไปมองคนสนิทที่เวลานี้ในมืออุ้มนกพิราบตัวหนึ่งไว้ ส่วนอีกมือนั้นมีกระดาษขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ถูกคลี่ออกอ่านแล้ว “ว่าอย่างไร?” เขาถาม
“กองทัพเรือจัดกองเรือตามล่าบลายน์ โดยเกณฑ์ชาวบ้านมาร่วมกองทัพ อีกสามวันจะออกเดินทาง” รอสตอบก่อนปล่อยให้นกพิราบบินขึ้นไปเกาะคานเสากระโดงเรือด้านบน
เทรย์เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เพราะดูเหมือนว่าผู้การวอล์คเกอร์ดูรีบร้อนถึงเพียงนี้ “แล้วเจอคนลักษณะที่ข้าบอกไหม?” เขาถามต่อ
อีกฝ่ายส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่เลย มีแค่คล้ายหลายส่วน อย่างส่วนสูง รูปร่าง สีผมกับทรงผม” เขาตอบก่อนส่งภาพม้วนกระดาษในมือให้กัปตันของตน
เทรย์เปลี่ยนท่าทางมาเป็นนั่งห้อยเท้าโดยเท้าข้อศอกทั้งสองข้างกับเข่า กัปตันเรือทาลิสแมนพิจารณาภาพร่างคร่าว ๆ ด้วยแท่งแกรไฟต์เป็นรูปหน้าตรงครึ่งตัวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เขาไม่คุ้นหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่เส้นผมยาวระต้นคอก็ชวนให้นึกย้อนกลับไปว่า ชายชุดดำปริศนาผู้นั้นหากปล่อยหางม้าเล็ก ๆ นั่น ความยาวของเส้นผมก็คงจะราว ๆ นี้
“อายุล่ะ?”
“น่าจะพอ ๆ กับนาวาโทแคร์รี่ วอลเลซ” รอสตอบ “เพราะคน ๆ นี้ดูสนิทสนมกับทหารเรือตัวแสบนั่นพอตัวเลยทีเดียวถึงแม้จะเป็นแค่ชาวประมงธรรมดา ๆ”
คำบอกเล่าต่อไปนั้นเรียกนัยน์ตาสีทองละจากแผ่นกระดาษในมือเป็นครั้งแรก “เป็นชาวประมง?” เขาถามซ้ำ
“ใช่ เป็นแค่ชาวประมง”
กัปตันหนุ่มนิ่งเงียบไปเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ชายชุดดำปริศนาผู้นั้นดูไม่ถูกกับอิไล แต่ปกป้องแค่แคร์รี่ นายทหารยศสูงของกองทัพ และปล่อยให้ทหารเรือรายอื่นถูกกระสุนน้ำของอิไลทะลุร่างจนพรุน
…น่าจะเป็นปฏิปักษ์กับกองทัพเรือโลกด้วยเช่นกัน
“เขาคือใคร?”
“เจมส์ ฟอรัส” รอสตอบก่อนพ่นลมหายใจพรูพร้อมจิ้มไปที่รูปวาดในมือของอีกฝ่าย “แต่แปลกมากเลยรู้ไหม กัปตัน เพราะคน ๆ นี้ไม่มีชื่อในสำมะโนประชากร”
เทรย์เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจก่อนหลุบตาลงมองภาพในมืออีกครั้ง ภาพร่างที่คนวาดมีฝีมือพอตัวไม่ใช่น้อย ทำให้เขาพอคาดเดาได้ว่าตัวจริงก็คงหน้าตาไม่เลวเหมือนดังที่เห็นในรูปวาดนี้ ดูเผิน ๆ แล้วเป็นเพียง ‘ชาวประมง’ ธรรมดา ๆ เท่านั้นจริง ๆ
เจมส์ ฟอรัส?
น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลย
“จะทำอย่างไรต่อ กัปตัน?” รอสถามหยั่งเชิงเมื่อเห็นกัปตันเรือของตนม้วนกระดาษเก็บแล้ว
กัปตันหนุ่มเหลือบมองไปยังท้องทะเลอีกครั้ง ในเวลานี้เรือทาลิสแมนอยู่ห่างจากพอร์ทรอยัลราว 22 ไมล์ และอีกตั้งสามวันกว่ากองเรือเฉพาะกิจจะออกจากท่า เช่นนั้นแล้วจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะปะทะกับกองทัพเรือ และอิไลก็อยู่ห่างจากเรือของเขาเกินกว่าจะตรวจจับผ่านผืนน้ำทะเลได้
“ไปเกาะบาร์นส์ หาข่าวของอิไลก่อน” เขาตัดสินใจได้ในที่สุดก่อนกระโดดลงมายืนเต็มเท้าบนพื้นเรือ ริมฝีปากที่มักเรียบตึงอยู่เสมอยกยิ้มเล็กน้อย “แต่ถ้าระหว่างทางเจออะไรน่าสนใจ ก็ฆ่าเวลาหน่อยก็ได้”
เขาหมายถึงเรือพานิชย์น้อยใหญ่ หรือแม้กระทั่งโจรสลัดด้วยกันเองที่บางครั้งก็ไม่ถูกชะตากันเท่าไรนัก
“ไม่รีบหน่อยหรือ?” รอสถามขณะเดินตามกัปตันเรือของตนซึ่งเดินนำไปฝั่งตรงข้ามกับหัวเรือ ทั้งสองเดินผ่านลูกเรือที่บ้างกำลังตั้งวงนั่งดื่มเหล้าแต่หัววัน บ้างก็ฝึกการต่อสู้ระหว่างกันเอง บ้างก็นอนแผ่บนพื้นเรือในสภาพเปลือยท่อนบน
“ไม่จำเป็น” เทรย์ตอบสั้น ๆ ขณะเหวี่ยงตัวหลบลูกหลงจากชายร่างใหญ่กล้ามแน่นที่กำลังมวยปล้ำกันอย่างไม่สนหน้าอินหน้าพรหมหน้ากัปตันใด ๆ “เพราะอีกแค่สัปดาห์กว่าก็จะถึงวันเฉลิมฉลองแล้ว คนอย่างอิไล ต่อให้อยากได้สมบัติมากแค่ไหน ก็ต้องกลับนิวโพรวิเดนซ์ตามสัตย์สาบานของโจรสลัด”
“เราก็ด้วยสินะ”
กัปตันเรือทาลิสแมนยังไม่ตอบคำถามนั้นเพราะมือข้างที่ว่างจากการถือแผนที่ยกขึ้นรับคว้าท่อนแขนแน่นกล้ามของหนึ่งในสองคนที่ทำตัวระรานพื้นที่ไม่สนใจใครมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว และตอนนี้อีกฝ่ายก็ทำท่าจะมาชนเขาเป็นรอบที่สองติด ๆ กัน แล้วแรงอันมหาศาลผิดกับรูปลักษณ์ที่ดูตัวเล็กกว่าอีกฝ่ายก็เหวี่ยงทั้งร่างนั้นให้ลงไปกระแทกกับพื้นเสียงดังลั่นจนลูกเรือทุกคนหยุดการกระทำของตนในวินาทีนั้น
“กัป…ตัน” คนโดนทุ่มครางเสียงแผ่วพร้อมหัวเราะแห้ง ๆ เมื่อโดนสายตาคมกริบตวัดมองอย่างไม่สบอารมณ์นั้น “ข้าขอโทษ”
เทรย์หรี่ตามองก่อนกลอกตาใส่ทีหนึ่ง “ขยับไปไกล ๆ” เขาพูดพร้อมกับปล่อยมือที่บีบท่อนแขนแน่น วินาทีนั้นลูกเรือกล้ามโตก็รีบผุดลุกขึ้นนั่งและถอยห่างตามคำสั่งอย่างไม่อิดออด ส่วนกัปตันเรือก็เหยียดกายขึ้นตรงอีกครั้งโดยมีรอสยืนมองอยู่ห่าง ๆ นัยน์ตาสีทองแดงเหลือบมองคนสนิทแวบหนึ่งเมื่อนึกถึงบทสนทนาที่ค้างไว้เมื่อครู่
“ใช่ เราก็ด้วย”
To Be Continued…