Notice: Function _load_textdomain_just_in_time was called incorrectly. Translation loading for the woocommerce-services domain was triggered too early. This is usually an indicator for some code in the plugin or theme running too early. Translations should be loaded at the init action or later. Please see Debugging in WordPress for more information. (This message was added in version 6.7.0.) in /var/www/html/wp-includes/functions.php on line 6121 The Piracy Vipe เล่ห์กะโหลกไขว้ - Chapter 2: Unusual Sign - Xeiji Writing - Official Site
Skip to content

The Piracy Vipe เล่ห์กะโหลกไขว้ – Chapter 2: Unusual Sign

  • by

Chapter 2 : Unusual Sign

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี แสงแรกของวันจากดวงอาทิตย์เริ่มลามเลียที่เส้นขอบฟ้าก่อนสาดแสงกระทบปุยเมฆสีขาวที่ลอยละล่องบนท้องฟ้าอย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่ต่างจากเรือประมงลำน้อยที่ในยามนี้ในลังไม้บรรจุปลากะพงแดง 3 ตัว และปลาทูอีก 1 โหล ทั้งหมดนั้นถูกหมักเกลือไว้เพื่อรักษาความสดก่อนมันจะถูกทำไปขายต่อในตลาดปลา ยกเว้นก็แค่ปลากะพงแดง 1 ตัวที่เจมส์ตั้งใจมอบให้เรฟดังที่ให้คำสัญญาไว้

ผลประกอบการวันนี้ถือเป็นที่น่าพอใจ แม้จำนวนปลาที่ตกได้ต่อครั้งอยู่ในระดับต่ำหากเทียบกับเรือลำใหญ่ของสมาพันธ์ชาวประมง แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครมากนักอย่างเขา ก็เลือกที่จะเป็นชาวประมงอิสระ ออกเรือหาปลาตามแต่ที่ใจอยากโดยไม่ต้องปวดหัวกับกฎเกณฑ์ทั้งหลายของสมาพันธ์และแบ่งเงินที่ได้จากการขายปลาให้กับคนที่ไม่คิดแม้แต่จะออกทะเลเองเลยสักครั้ง

เจมส์ฮัมเพลงขณะพายเรือกลับเข้าฝั่งไปเรื่อย ๆ โดยมีลมทะเลช่วยหนุนหลังอย่างไม่รีบร้อน แต่ในสมองก็เริ่มวางแผนแล้วว่าจะนำปลาทูสักตัว 2 ตัวไปยัดสมุนไพรและเผาเกลือกินเป็นอาหารเช้าเสียแล้ว

“อา…ชักหิวขึ้นมาแล้วสิ” เขาเปรยเบา ๆ ก่อนคาดคะเนระยะทางที่เหลือระหว่างเรือบดลำน้อยลำนี้กับยอดประภาคารตรงหน้า เส้นทางหาปลาของชาวประมงหนุ่มเมื่อคืนนี้ไม่ต่างจากวันอื่นมากนัก…นั่นหมายความว่าขากลับเข้าฝั่ง เขาจะต้องผ่านชะง่อนผาซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองพอร์ทรอยัลราว 7 กิโลเมตร

นั่นปะไร…เขาเห็นมันแล้ว

ชะง่อนผานั้นแยกตัวออกมาโดดเดี่ยว เพราะกองทัพเรือโลกตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น และพวกเขาก็เชื่อว่าไม่มีชาวบ้านสติดีคนไหนหาญกล้าพอที่จะย่างกรายเข้าใกล้ กลุ่มคนที่เข้าใกล้มากที่สุด…ก็คงเป็นชาวประมงเพราะเส้นทางหาปลาของพวกเขาทำให้ไม่อาจเลี่ยงได้

เจมส์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะแบบนั้นเขาจึงเห็นเสาและคานเหล็กตั้งตระหง่านเหนือผิวน้ำทะเล หลาย ๆ ครั้งเชือกซึ่งห้อยลงมาจากคานนั้นว่างเปล่า และหลายครั้งเช่นกันที่มักมีร่างไร้วิญญาณของเหล่าโจรสลัดผู้ถูกประหารจากจตุรัสถูกแขวนคอตากแดดตากลม แห้งกรังและถูกแร้งจิกทึ้งจนเหลือแต่กระดูก ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลยหากจะเห็นศพของลูกเรือและกัปตันของลาร็องส์ถูกแขวนประจาน

แต่เพราะไม่เห็นนี่ล่ะ…จึงทำให้เขาประหลาดใจ

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เมื่อคืนนี้เขาเห็นกับตาว่าศพเหล่านั้นถูกปลดจากแท่นประหารและถูกโยนขึ้นเกวียน เช่นนั้นแล้วที่คานเหล็กนี้ก็ควรมีศพของพวกเขาถูกแขวนอยู่ แต่นี่กลับไม่มี และมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเรื่องที่สาแก่ใจตนเช่นนี้คือความหฤหรรย์ของกองทัพเรือโลก

ด้วยความสงสัยอันท่วมท้น เจมส์จึงพายเรือเข้าใกล้ชะง่อนผานั้น

แล้วเขาก็ได้เห็นแผ่นหลังของมนุษย์หลายรายลอยอยู่ที่ผิวน้ำทะเลใต้ชะง่อนผา แม้เสื้อผ้าเปียกชุ่มและไม่เห็นศีรษะ มันก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นร่างของใคร…เพราะเขาเพิ่งเห็นมันเมื่อวานนี้บนร่างของเหล่าโจรสลัดผู้ถูกจับกุม

“แปลก” เจมส์พึมพำกับตัวเอง

มันแปลก เพราะไม่มีวันที่กองทัพเรือโลกจะคืนร่างไร้วิญญาณของโจรสลัดกลับสู่ท้องทะเล

เพราะหากตายแล้วได้ทอดร่างลงใต้ทะเล นั่นคือความปรารถนาของโจรสลัด

ผู้พันวอลเลซ!

พลัน เสียงเรียกชื่อที่คุ้นเคยซึ่งดังขึ้นมาจากเหนือชะง่อนผา และมันทำให้เจมส์อดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้แม้ความจริงแล้ว การปรากฏตัวของชาวประมงใต้หน้าผาแห่งนี้ออกจะเป็นเรื่องที่น่าสงสัยในสายตาของกองทัพเรือโลกก็ตามที

แต่เพราะว่าเป็น ‘ผู้พันวอลเลซ’ ผู้นี้ เขาจึงวางใจว่าตนจะไม่ถูกเอาเรื่อง

นัยน์ตาสีดำสบมองร่างสูงกำยำของชายหนุ่มในเครื่องแบบสีน้ำเงินผู้ก้มหน้าลงมายังทะเลเบื้องล่าง จากระยะนี้เจมส์ไม่อาจเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้ แต่เพราะรู้จักกันมานานทำให้เขาคาดเดาได้ไม่ยากว่านายทหารเรือผู้นี้กำลังขมวดคิ้วใส่เขาอย่างไม่ต้องสงสัย

เจมส์ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะคว้าหมวกปีกกว้างมาสวมทับเส้นผมสีดำเหลือบเขียวเข้มของตน ก่อนพายเรือให้ถอยหลังห่างจากชะง่อนผา…โดยไม่ลืมโบกมือลาทิ้งท้ายอย่างกวนอารมณ์ และทิ้งความสงสัยไว้ข้างหลังทั้งหมด เพราะมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว และตอนนี้ยังมีปลาอีก 10 กว่าตัวที่รออยู่ในเรือลำน้อยของเขา พ่วงด้วยเสียงร้องประท้วงของกระเพาะอาหารที่ต้องการอาหารเช้า

เจมส์สูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้งเมื่อเรือประมงของเขาเข้าใกล้พอร์ทรอยัลจนเห็นกะลาสีเรือวิ่งพล่านที่ท่าเรือ รับรู้กลิ่นอายของทะเลและอากาศสดชื่นยามเช้า

“หือ?” แต่ไม่ทันไรคิ้วก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง เมื่อปลายจมูกรับรู้ถึงกลิ่นที่เปลี่ยนไป รวมถึงกระแสลมที่ผิดแปลกไปจากทุกครั้ง

ชายหนุ่มเอี้ยวตัวกลับไปมองชะง่อนผาอีกครั้งด้วยความคลางแคลงใจ ก่อนสัญชาติญาณหนึ่งร้องบอกให้เขาผินสายตาไปมองที่สุดขอบฟ้า

แม้เลือนลางและไกลลิบจนแทบมองไม่เห็น แต่เจมส์มั่นใจว่าเห็นเค้าร่างสีดำทะมึนของเรือลำหนึ่ง แต่เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง…มันก็หายไปเสียแล้ว

เจมส์แน่ใจว่าเขาไม่มีทางตาฝาด รวมไปถึงกลิ่นของทะเลและกระแสลมก็ไม่มีวันโกหก

บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น

แม้ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว แต่ก็คลางแคลงใจมากเกินกว่าจะปล่อยวาง เจมส์วางไม้พายลงข้างกายก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ขยับไปทางกราบเรือด้านขวา โน้มตัวลงพร้อมยื่นมือออกไปนอกเรือเพื่อให้ปลายนิ้วสัมผัสน้ำทะเล

นัยน์ตาสีดำคล้ายมีประกายสีเขียวพาดผ่านหากไม่สังเกตให้ดี

เจมส์ยิ่งขมวดคิ้วหนัก…เพราะไม่ใช่แค่กระแสลมที่ผิดปกติ กระแสน้ำก็แปลกไปเช่นกัน แต่เขายังไม่อาจอธิบายได้ว่า อะไรที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ และมันเกี่ยวข้องกับการที่โจรสลัดแห่งลาร็องส์ถูกปลดลงจากคานเหล็กหรือไม่

ทำอะไรตกน้ำงั้นหรือเจมส์!?” เสียงร้องเรียกจากนายท่าคนเดิมดึงสติของเจมส์ให้กลับมา เขาชักมือกลับมาทันทีพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง

“เหยื่อตกปลาน่ะ” ชาวประมงหนุ่มตะโกนกลับไป “พอดีข้าเผลอสัปหงก”

“เอ้อ ดีนะที่เป็นแค่เหยื่อ เอาปลาไปขายแล้วรีบกลับไปนอนเถอะ”

เจมส์หัวเราะกลับไปขณะใช้ไม้พายจ้วงเรือประมงให้เข้าสู่ท่าเรือได้เร็วขึ้น ทิ้งทุกความสงสัยไว้ที่มหาสมุทรเบื้องหลัง

###

“ขอบใจเจ้าสำหรับปลากะพงนะเจมส์ ตัวใหญ่สะใจจริงเว้ย” เรฟพูดไปหัวเราะไปและตีหลังชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหนัก ๆ อย่างไม่ออมแรง นิ้วโป้งชี้ไปในครัวข้างหลังร้านอาหารของตนที่ซึ่งเห็นปลากะพงแดงตัวขนาดครึ่งท่อนแขนนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะไม้กลางห้องครัว และมีคนครัวกำลังจะขอดเกล็ดด้วยมีดอีโต้ในมือ

เจมส์ที่ไม่สะเทือนกับแรงตีที่หลังชูถุงเงินหนัก ๆ ในมือขึ้น “แลกกับเงินนี่ ข้าว่าก็ไม่เลวนะ” เขาตอบอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเก็บมันเข้าย่ามผ้าป่านของตน ภายในนั้นบรรจุเงินที่เขาได้จากการขายปลากะพงแดง 2 ตัวและปลาทูอีก 10 ตัวให้กับตลาดขายปลา มากพอให้เขาไม่ต้องออกเรือไปอีก 2 วันเลยทีเดียว

ความจริงแล้ว เขาขายปลาได้หมดลังก็เพราะอยู่ในวงซุบซิบของพ่อค้าแม่ค้าอยู่นานสองนาน เอออกห่อหมกไปเรื่อยจนบรรยากาศผ่อนคลายมากพอให้บรรดาผู้ค้าปลาในตลาดเผลอจ่ายเงินซื้อปลาของเขาจนหมด และมันก็ช่วยให้เขาได้รับรู้ข่าวลือบางเรื่องที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

“เย็นนี้ก็แวะมาฝากท้องได้ ต้มหัวปลารอเจ้าอยู่แน่”

“ถ้าข้าไม่นอนเพลิน” ชาวประมงหนุ่มยิ้มกว้างก่อนโบกมือลาเจ้าของร้านอาหารและเดินกลับบ้านซึ่งอยู่ถัดจากร้านของเรฟราว 20 ก้าว ดังนั้นจึงเกือบอยู่สุดซอยเลยทีเดียว มองจากภายนอกเป็นเพียงบ้านชั้นเดียวขนาดเล็กกะทัดรัดและมองผ่านไปได้อย่างง่ายดาย เขาซื้อต่อบ้านหลังนี้มาจากภรรยาของชาวประมงผู้หนึ่งที่ลาจากโลกนี้ไปด้วยเหตุการณ์เรือล่ม เจ้าหล่อนเพียงแค่ไม่อยากอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับสามีผู้ล่วงลับ ดังนั้นจึงตั้งราคาขายในราคาที่ถูกแสนถูก นับว่าเป็นโชคดีของคนที่มีเงินก้นถุงไม่กี่เหรียญ…

…และมีเพื่อนผู้แสนดีกระเป๋าหนักที่ช่วยออกเงินที่เหลือให้

และเพื่อนคนนั้นก็ยืนพิงกำแพงบ้านของเขารออยู่แล้ว แม้เจ้าตัวสวมเสื้อคลุมสีดำพร้อมฮู้ดปิดบังใบหน้า เขาก็มั่นใจว่าเป็นใคร เพราะมีไม่กี่คนที่รู้จักที่อยู่ของเขา

เจมส์นึกขอบคุณที่เจ้าตัวสวมเสื้อคลุมทับเครื่องแบบสีกรมท่าของทหารเรือไว้ ไม่อย่างนั้นเพื่อนบ้านคงได้แตกตื่นตกใจถ้าเห็นทหารเรือยศนาวาโทมายืนอยู่หน้าบ้านหลังซอมซ่อหลังนี้

เจมส์เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มเป็นเชิงทักทาย “มารอตั้งแต่เมื่อไร?” เขาถามเสียงเรียบเรื่อยขณะเดินไปไขกุญแจประตูอย่างไม่รีบร้อน

“20 นาทีได้ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะไปขายปลานานขนาดนี้”

ชาวประมงหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “ฟังพ่อค้าแม่ค้าในตลาดคุยกันก็เพลินดี” เขาตอบขณะผลักประตูบ้านให้เปิดออก และผายมือเชื้อเชิญ “ยินดีต้อนรับสู่บ้านซอมซ่อครับ นาวาโทแคร์รี่ วอลเลซ” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกวนอารมณ์บนใบหน้า

“ขอบคุณเจมส์ ฟอรัส” แล้วร่างสูงกำยำก็ก้าวยาว ๆ ผ่านเจ้าบ้านไปโดยไม่ลืมสอดส่ายสายตารอบกายอีกครั้ง

“ขนาดนั้นเลยนะ? ” เจ้าบ้านอดเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจไม่ได้เมื่อปิดประตูตามหลังตน เขาเดินไปจุดไฟในตะเกียง 2 ดวงก่อนเดินไปดึงผ้าม่านที่หน้าต่างให้ปิดสนิทอย่างเสร็จสรรพ เมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าอีกฝ่ายปลดฮู้ดออกแล้ว เผยให้เห็นเส้นผมสีบลอนด์ตัดสั้นแทบติดหนังศีรษะ และใบหน้ากร้านแดดและดุดันสมตำแหน่งผู้พันที่หลายคนหวาดกลัว…

“ขนาดนั้นเลย”

…เว้นก็แต่เขา

“ถ้าจะให้เดา…เป็นเรื่องที่ผาลงทัณฑ์ล่ะสิ” เจมส์ถามต่อขณะเดินไปหยิบแก้ว 2 ใบไปรองน้ำเปล่าจากถังไม้ซึ่งวางอยู่บนเคาน์เตอร์ส่วนที่เป็นห้องครัวของบ้าน

แคร์รี่ถอนหายใจยาว “ใช่…ขอบใจ” เขาเอ่ยเมื่อเจ้าบ้านยื่นแก้วใส่น้ำให้ตน

เจมส์โคลงหัวไปมาแทนการรับรู้ขณะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ผาลงทัณฑ์ที่เขาพูดถึงก็คือ ชะง่อนผาแห่งนั้นที่ใช้แขวนศพของโจรสลัด และเขาเพิ่งพายเรือผ่านเมื่อเช้านี้ “แล้วมาหาข้าทำไม? ” เขาถาม

“เพราะความจริงแล้วก่อนหน้าที่เจ้าจะมาเห็นเหตุการณ์เมื่อเช้า มีศพแขวนอยู่ที่คานเหล็กจริง”

“ก็ควรเป็นอย่างนั้น”

“แต่ไม่ใช่โจรสลัด…” เสียงทุ้มต่ำค้างประโยคไว้ก่อนหยิบม้วนภาพสเก็ต 2 ม้วนออกมาจากอกเสื้อ และคลี่มันบนโต๊ะ “…เป็นทหารเรือ”

นัยน์ตาสีดำไหววูบด้วยความประหลาดใจก่อนก้มลงมองภาพสเก็ตบนแผ่นกระดาษแผ่นแรก เป็นลายเส้นจากแท่งแกรไฟต์ ขีดเขียนและประกอบเส้นสายเป็นรูปของชายฉกรรจ์ 3 รายในเครื่องแบบทหารเรือที่นอนหงาย ดวงตาทุกคู่เบิกโพลง และทุกรายมีบาดแผลเดียวกันที่บริเวณลำคอ

เป็นรอยเชือดยาวพาดผ่านหลอดลมในการลงมือเพียงครั้งเดียว และปลายด้านหนึ่งที่ลากมาทางด้านซ้ายดูมีการลงน้ำหนักเบากว่าปลายด้านขวา

นั่นหมายความว่า ผู้ลงมือถนัดซ้าย

“ดูที่หลังของพวกเขา” แคร์รี่ว่าต่อพร้อมกับชี้ไปที่ม้วนกระดาษอีกแผ่น ซึ่งเป็นภาพสเก็ตแผ่นหลังของทหารเรือผู้เสียชีวิต…ซึ่งมีสัญลักษณ์กากบาทขนาดใหญ่พาดผ่านกลางหลัง ภาพสเก็ตนี้ชัดเจนมากเสียจนเห็นว่ารอยกรีดนั้นสลักลึกลงไปจนแทบถึงกระดูกราวกับต้องการให้มันแทนความเคียดแค้นและชิงชังออกมาอย่างชัดเจน

“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ที่ผา และบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตก็มีแค่รอยมีดที่ลำคอ แสดงว่ารอยกรีดนี้แค่เพื่อความสะใจก็เท่านั้น”

เจมส์หรี่ตาพิจารณารูปสเก็ตและซึมซับคำพูดของทหารเรือยศสูงไปพร้อมกัน คราแรกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดนาวาโทแห่งกองทัพเรือผู้นี้จึงนำเรื่องนี้มาแจ้งแก่เขา แม้เป็น ‘สหายเก่า’ ก็ไม่น่านำเรื่องภายในกองทัพมาปรึกษาคนนอก

จนกระทั่งเห็นรูปสเก็ตเหล่านี้…เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไม

เพราะเขาอาจเป็นคนเดียวในพอร์ทรอยัลที่สามารถให้คำตอบเรื่องนี้ได้

“เจ้าคิดว่าอย่างไร เจมส์? ” แคร์รี่ถามหยั่งเชิง

คนถูกถามทำเพียงยกยิ้มหยัน เพราะแม้จะเป็นสหายกัน แต่ด้วยจุดยืนที่อยู่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงทำให้เขาทำเพียงไหวไหล่เล็กน้อยราวกับเป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” เขาถามกลับก่อนเอนกายพิงพนักเก้าอี้และยกมือขึ้นกอดอกหลวม ๆ

“เจมส์” เสียงของผู้พันแห่งกองทัพเรือเข้มขึ้นหลายระดับ

“ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วหรือไง?” เจมส์เอ่ยสวนทันทีพร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อย “ที่มาหาข้า แค่เพราะอยากยืนยันว่าสิ่งที่คิดถูกต้อง…หรือไม่ใช่?”

แคร์รี่หรี่ตามองอย่างพินิจพิเคราะห์ในท่าทีไม่ยี่หระของอีกฝ่าย พยายามเค้นหาพิรุธบนสีหน้ายียวนและรู้เท่าทันไม่ต่างจากทุกครั้ง “แล้วใช่อย่างที่ข้าคิดไหม?” เขาถามกลับไปอีกครั้งด้วยประโยคที่ซ่อนการยอมรับอยู่ในที

เจมส์เอียงคอนิด ๆ พลางเหยียดยิ้มอย่างไว้ท่า “แล้วถ้าข้าตอบ เจ้าจะเอาหลักฐานอะไรไปยืนยันกับผู้การว่าเป็นฝีมือของหมอนั่น? ” เขาตั้งคำถาม “จะบอกว่าได้รับการยืนยันจากข้างั้นหรือ? ก็คงไม่ได้กระมัง”

ความเงียบงันโรยตัวลงมาระหว่างคนทั้งสองพร้อมกับแววตาที่วูบไหวล้อไปกับแสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน เกมความเงียบไม่เคยเป็นอุปสรรคของเจมส์…เช่นเดียวกับผู้พันหนุ่ม แต่ถึงกระนั้นก็เป็นแคร์รี่ที่ถอนหายใจยาวออกมาก่อน

“อย่างน้อยข้าก็จะได้เตรียมรับมือได้ทันหากรู้ว่าแผนการของหมอนั่นคืออะไร” เขาตอบเสียงหนักใจ “เจ้าก็รู้จักคนอย่างอิไล บลายน์ดี”

เจมส์นิ่งเงียบไป แน่นอนว่าเขารู้ และมั่นใจมากว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นฝีมือของใคร ทั้งความแม่นยำในการสังหารด้วยมีดสั้นในมือซ้าย การเคลื่อนไหวอันว่องไวและเงียบกริบในความมืด และ…ความเคียดแค้นที่มีต่อกองทัพเรือโลก ทั้งหมดทั้งหมดทั้งมวลชี้ไปที่คน ๆ เดียวเท่านั้น

หากเพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไม ‘อิไล บลายน์’ ผู้นั้นถึงเลือกลงมืออย่างเอิกเกริกและไร้เหตุผลเช่นนี้ หากจะบอกว่าเพื่อแก้แค้นลูกเรือลาร็องส์ ก็ไม่มีวันเป็นไปได้ คนอย่าง ‘กัปตัน’ อิไลไม่เคยคิดแก้แค้นให้ใคร หากไม่ใช่แก้แค้นให้ตัวเอง

หรือจะเรียกได้ว่า ‘ความแค้น’ เป็นแรงผลักดันในการใช้ชีวิตของโจรสลัดผู้นี้เลยก็ว่าได้

“เจมส์”

เจ้าของชื่อกะพริบตาทีหนึ่งเมื่อโดนเรียกอีกครั้ง เขาช้อนสายตาขึ้นสบมองนัยน์ตาสีฟ้าคมกริบของผู้พันหนุ่ม เห็นความคาดคั้นส่งผ่านมาจนอยากหัวเราะออกมาเบา ๆ

คิดจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แต่ไม่หงายไพ่ทั้งหมดของตัวเอง มันช่างน่าหงุดหงิดไม่ใช่น้อย

“เจ้ายังบอกข้าไม่หมด แคร์รี่” เขาเอ่ยเสียงเนิบนาบ แล้วสีหน้าของนาวาโทแคร์รี่ก็พลันชะงักค้างจนคนมองอดยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ “ต่อให้เจ้าเป็นสหายที่ช่วยชีวิตข้าไว้ แต่ก็หักลบกับความจริงที่เจ้าเองก็เป็นทหารเรือไม่ได้ และเจ้าก็รู้ว่าข้าเกลียดทหารเรือยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด”

เจมส์ลดมือที่กอดอกลงก่อนมือขวาจะยกขึ้นวางบนโต๊ะตรงหน้า ปลายนิ้วเคาะพื้นไม้อย่างเป็นจังหวะช้า ๆ เพื่อดึงสายตาของคนฝั่งตรงข้ามให้หลุบตามองข้อมือของตน “ดังนั้น หากทหารเรือต้องการข้อมูลจากข้า ก็ต้องหงายไพ่ที่มีทั้งหมด…” แล้วเขาก็โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “…ไม่อย่างนั้น เจ้าก็จะไม่ได้คำตอบอะไรกลับไป”

แคร์รี่รู้ความหมายนั้นดี และข้อมือที่มีแถบผ้าสีขาวขุ่นพันรอบนั้นก็ยืนยันคำพูดของอีกฝ่ายได้ดีไม่แพ้กัน

“เจ้ารู้อะไรมา?”

“เกิดอะไรขึ้นที่เคนท์…เมืองทางตอนเหนือของเกาะเคลท์?” ทันทีที่เจมส์เอ่ยจบ นาวาโทแห่งกองทัพเรือถึงกับทำเสียงไม่พอใจ เรียกรอยยิ้มจากคนรู้ทันได้เป็นอย่างดี “รวมไปถึงหอนิรภัยทางทิศเหนือของอาสคาเรียด้วย”

ตึง!

ฝ่ามือหนาตบโต๊ะอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ สีหน้าของแคร์รี่ก็ไม่สบอารมณ์อย่างได้ชัด แต่อีกคนกลับไม่สะทกสะท้านใด ๆ ซ้ำยังหัวเราะในลำคออย่างเพลิดเพลินใจอีกด้วย

“เจ้ารู้ได้อย่างไร? กองทัพเรือปิดข่าวเรื่องนี้แล้ว” แคร์รี่ถามเสียงแข็งกระด้างจนแทบจะเป็นกระโชกโฮกฮาก

“อย่าดูถูกความสามารถในการสอดรู้สอดเห็นของชาวบ้านสิ ผู้พัน” เจมส์พูดกลั้วหัวเราะขณะชักมือกลับมากอดอกอีกครั้ง “เมื่อเช้านี้ที่ข้าเอาปลาไปขาย ข้าก็เลยได้ยินข่าวลือนิด ๆ หน่อย ๆ น่ะว่าเกิดเหตุปล้นครั้งใหญ่ของโจรสลัดในน่านน้ำของเมืองนั้น แถมทหารเรือก็ตามจับไม่ได้เสียด้วย โดนด่าขรมกันใหญ่เพราะเรือที่ถูกปล้น ผู้รอดชีวิตมีแค่หยิบมือเดียว”

“…”

“ส่วนหอนิรภัยทางทิศเหนือซึ่งเป็นของกองทัพเรือโลก…” ชาวประมงหนุ่มพูดพลางโคลงหัวไปมา “…ก็ถูกปล้นเช่นกัน” ขณะพูดนั้นก็รู้สึกบันเทิงใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว กองทัพเรือโลกถูกหยามหน้าภายในวันเดียวกันด้วยฝีมือของโจรสลัดเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้น… “…ซ้ำยังลือกันว่าเป็นฝีมือของอิไล บลายน์เสียด้วยสิ”

แคร์รี่คำรามด้วยความไม่พอใจในลำคอ

“ใช่หรือไม่?” คำถามพร้อมสีหน้าแสนยียวนถูกส่งมา ชวนให้คนมองรู้สึกเส้นเลือดในสมองเต้นตุบ ๆ จนรู้สึกได้

“ถ้าเจ้าไม่ใช่สหายข้า ป่านนี้ข้าเอาสันดาบฟาดหน้าเจ้าไปแล้ว”

เจมส์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “แสดงว่าข่าวลือที่ข้าได้ยินมาเป็นเรื่องจริง” เขายิ้มกริ่ม “แต่ข้าก็อยากได้ยินจากปากของทหารเรือมากกว่านะ ดังนั้น…ว่าอย่างไรเล่านาวาโทแคร์รี่? เจ้าจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือยัง?”

แคร์รี่พ่นลมหายใจแรง ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนจะคว้าแก้วมาดื่มน้ำหลายอึก หมดมาดผู้พันผู้น่าเกรงขามที่ลูกน้องนับถือเลยทีเดียว “ให้ตาย ข้าล่ะเกลียดเจ้าชะมัด” เขาสบถ แต่ก็ได้รับเป็นเสียงหัวเราะเบา ๆ ตอบกลับมาอย่างน่าโมโห

“เป็นเกียรติเหลือเกิน แต่ถ้าเจ้าเกลียดข้า เจ้าก็ไม่เหลือสหายที่ไหนแล้วนะ”

“เจ้าก็ไม่ต่างจากข้า”

เจมส์แค่นเสียงในลำคอ นัยน์ตาเป็นประกายกร้าวอยู่ชั่วครู่เดียวก่อนแทรกด้วยเส้นสายของความโศกเศร้า วูบไหวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนเจ้าตัวต้องเบนสายตาไปทางอื่น “ข้ารู้” เขาตอบกลับเช่นนั้น และเขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องสังเกตเห็นทัน แต่เพราะรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมด รวมทั้งจุดยืนที่ต่างกัน จึงไม่มีใครเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“ศพของทหารเรือที่ถูกแขวนที่ผาลงทัณฑ์…” แคร์รี่เกริ่นขึ้นมาในที่สุดเพื่อทำลายความอึดอัดนี้ “…ความจริงแล้วคือทหารเรือที่เฝ้าหอนิรภัย ตอนแรกที่พวกข้าค้นหาร่างของพวกเขาไม่เจอ ก็นึกว่าร่วงลงทะเลไปแล้ว แต่ที่ไหนได้…” เขาส่ายหน้าเล็กน้อยพลางถอนหายใจ “…และเป็นอย่างที่เจ้ารู้มา คนที่บุกหอนิรภัยก็คือกลุ่มของบลายน์ คนที่รอดชีวิตบอกว่าเหมือนหมอนั่นกำลังหาอะไรบางอย่างที่เป็นแผนที่ แต่ที่นั่นไม่มีแผนที่ที่มันตามหา”

เจมส์นิ่งเงียบ และจมอยู่ในความคิด

ปล้นเรือในน่านน้ำของเกาะเคลติก บุกหอนิรภัยเพื่อตามหาแผนที่ กรีดแผ่นหลังทหารเป็นรูปกากบาท

ไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงกันเลยสักนิด หากลองคิดถึงจุดประสงค์ของการใช้แผนที่แล้ว ก็พอคาดการณ์ได้ว่าอิไลกำลังตามหาอะไรบางอย่าง ที่อาจจะเป็นสมบัติ และบนแผนที่มักทำเครื่องหมาย ‘กากบาท’ …

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “สมบัติ” เขาเปรยออกมาเบา ๆ

“สมบัติอะไร?”

เจมส์นิ่งไปอีกครั้งขณะเหม่อมองภาพสเก็ตแผ่นหลังของทหารเรือ สมบัติอะไรที่ทำให้อิไลทำเรื่องเอิกเกริกเช่นนี้? เขาเองก็จนปัญญาจะคาดเดา “ข้าไม่รู้” เขาตอบในที่สุด

“เจมส์”

“ข้าไม่ใช่อิไล ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า” ชาวประมงหนุ่มยืนยันคำเดิมเมื่อโดนคาดคั้นพลางไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “แต่ได้รู้ว่าหมอนั่นกำลังตามหา ‘สมบัติ’ อยู่ ไม่ดีหรือ?”

แคร์รี่กลอกตาใส่ “ช่วยได้มาก”

“ยอมช่วยก็ดีแค่ไหนแล้ว” เจมส์พูดกลั้วหัวเราะ

ผู้พันหนุ่มแค่นเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นักก่อนเจ้าตัวจะเก็บม้วนภาพสเก็ตและลุกขึ้นยืน “ข้าต้องไปแล้ว” เขาเอ่ยพร้อมกับดึงฮู้ดขึ้นมาสวมอีกครั้ง

“ไม่ส่งนะ”

“เออ”

เจมส์หัวเราะให้กับคำตอบรับแสนห้วนสั้นและเต็มไปด้วยความหงุดหงิดนั้น เขามองตามแผ่นหลังหนาของสหายสนิทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เดินไปยังประตู เขากับแคร์รี่ วอลเลซก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร โต้ตอบคารมกันบ่อยครั้งจนเกินกว่าจะโกรธเคืองกันกับน้ำเสียงที่ใช้ หากนึกดูแล้ว…ก็อาจมีแต่แคร์รี่เท่านั้นที่ยังเชื่อใจเขาอยู่

แม้ว่าในจุดหนึ่งของชีวิต เส้นทางของพวกเขาได้มาถึงทางแยกและไม่มีวันบรรจบกันได้อีกก็ตามที

“เจมส์” เสียงของสหายสนิทเรียกอีกครั้งเมื่อเจ้าตัวแตะบานประตู

“ว่า?”

“ที่ผาลงทัณฑ์มีรอยเท้าอีกรอยเท้าหนึ่ง” แคร์รี่เอ่ยพร้อมกับเหล่มองผ่านหัวไหล่ “น้ำหนักเท้าที่ลงเหมือนไม่ได้แบกอะไรไว้ จังหวะการเดินก็มั่นคง ดูไม่รีบร้อนทั้งขาไปและขากลับจากหน้าผา”

“…”

“เหมือนกับแค่มาสังเกตการณ์ แล้วก็กลับ”

และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่ร่างสูงกำยำใต้เสื้อคลุมสีดำจะเดินออกจากบ้านหลังเล็กแสนซอมซ่อไป ทิ้งให้เจ้าของบ้านจมอยู่กับความสงสัยที่ถูกวางระเบิดไว้

เจมส์ยังคงนั่งนิ่งและจมจ่อมอยู่กับความคิดของตน จู่ ๆ ก็หวนนึกถึงเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่เขาเห็นที่จตุรัสเมื่อคืนนี้ ตอนนั้นเองที่สัญชาติญาณร้องบอกอย่างไม่มีเหตุผลว่า เจ้าของรอยเท้านั้น…อาจจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่เขาเห็นโดยบังเอิญ ณ ลานประหาร

“เป็นใครกัน?”

ก๊อก…

แต่แล้วความคิดทั้งหมดพลันหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านของตนเบา ๆ เจมส์ช้อนสายตาขึ้นมองทันที และสิ่งที่เขาเห็นคือ กระดาษแผ่นเล็กที่ถูกสอดเข้ามาใต้ช่องว่างระหว่างประตูและพื้น ชายหนุ่มจึงผุดลุกขึ้นและเดินไปยังประตูบ้านอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับข้อความจาก ‘ใครอีกคน’ ในลักษณะนี้ แต่เขาก็ไม่เคยวางใจ

แต่กระดาษแผ่นน้อยนี้ก็ดูไร้พิษสงใด ๆ และข้อความบนนั้นก็ทำให้เขาถอนหายใจยาวด้วยความหน่ายใจ

…เพราะดีแค่ไหนแล้วที่นำข้อความมาส่งให้เขาหลังจากที่ทหารเรือยศสูงจากไปแล้ว

###

กลางดึกของวันนั้น ณ สุดตรอกเล็กจนแทบไม่มีใครสังเกต มีกองกระดาษลังวางสุม ๆ กันอย่างตั้งใจจนหากไม่สังเกตดี ๆ คงไม่เห็นว่าตรงนั้นยังพอมีที่ว่างให้หลบซ่อนตัวได้

และหากมีแสงไฟจากคบเพลิงส่องมาทางนี้เสียหน่อย ก็อาจได้เห็นเงาร่างของชายหนุ่ม 2 คนยืนประจันหน้าเข้าหากัน คนหนึ่งสวมหมวกปีกกว้างและสวมเครื่องแต่งกายที่ดูขะมุกขะมอมเล็กน้อย เจ้าตัวยืนอย่างสงบเสงี่ยมต่อหน้าชายหนุ่มอีกคนที่มีผ้าสีดำปิดใบหน้าครึ่งล่าง ท่าทางการยืนแม้ดูสบาย ๆ เมื่อยืนกอดอกพิงกำแพงอีกฝั่ง แต่บรรยากาศที่โรยตัวลงมากลับมีแต่ความกดดันจนหนักอึ้ง

“เจ้าแน่ใจ?” เสียงที่ลอดผ่านผ้าปิดปากนั้นฟังอู้อี้

“ข้าแน่ใจ” อีกฝ่ายพยักหน้ารับเบา ๆ “ดอล์ฟ กับเรเกล…ไม่อยู่แล้วจริง ๆ”

เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดได้ยินชัดเจนในความเงียบงันระหว่างกันนี้

“ศพของพวกเขาลอยอืดขึ้นมาเหนือน้ำ” คนส่งข่าวกระซิบ กระแสในน้ำเสียงกลับสั่นระริกจนสัมผัสได้ “จากการชันสูตรและคำนวณทิศทางกับความเร็วของกระแสน้ำแล้ว…พวกเขาน่าจะถูกทิ้งแถวชายฝั่งเมืองเคนท์”

คนสวมผ้าปิดปากชะงักไปเล็กน้อย “ชายฝั่งเมืองเคนท์” เป็นเมืองทางตอนเหนือของเกาะเคลท์ เขารู้มาก่อนแล้วว่าน่านน้ำของเมืองในเขตนั้นที่ถูกโจรสลัดโจมตี เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าสองคนนี้จะอยู่ในที่เกิดเหตุ

“เป็นฝีมือของอิไล บลายน์” อีกฝ่ายเอ่ยสั้น ๆ

ลมหายใจสะดุดกึกก่อนที่ดวงตาจะหรี่ลง “อย่างที่คิดจริง ๆ”

“และไม่ใช่แค่นั้น” ชายสวมหมวกปีกกว้างเอ่ยช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าเชื่อว่าสาเหตุที่เรือลำนั้นถูกปล้นเป็นเพราะดอล์ฟกับเรเกลเป็นลูกเรือของเรือลำนั้น กะลาสีเรือที่รอดชีวิตเล่าให้ฟังด้วยว่า อิไลเค้นคอถามพวกเขาเรื่องแผนที่

คนฟังขมวดคิ้วมุ่น แผนที่อีกแล้ว?

ชายหนุ่มสวมผ้าปิดปากสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ขณะแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีเข้มเพื่อเรียบเรียงความคิดของตนทั้งหมด

เค้นคำตอบเรื่องแผนที่จากลูกเรือ ‘ไวเปอร์’

บีบคอถามทหารเรือเรื่อง แผนที่

บุกหอนิรภัยทางทิศเหนือของอาสคาเรีย…

…แผนที่…

พลัน นัยน์ตาสีดำก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ

ชายผู้มาส่งข่าวลอบสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย ท่าทางตกใจนั้นเร่งให้เขาพูดต่อไปพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม “เป็นไปได้สูงที่อิไลกำลังตามหาแผนที่ที่กองทัพยึดมา และแผนที่นั้นน่าจะเป็น…”

“…”

ทั้งสองไม่พูดอะไรนอกจากมองหน้ากันนิ่ง แต่สีหน้าและแววตาที่สบกันนั้นบ่งบอกเป็นอย่างดีตอนนี้พวกเขาคิดตรงกัน

“ถ้าหมอนั่นคิดจะไปที่นั่นจริง กัป—”

สนูป

เจ้าของชื่อชะงักไป ราวกับว่าน้ำเสียงเข้มห้วนสั้นนั้นทำให้คนฟังเกรงกลัวได้ทุกครั้งที่ได้ยินไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม สนูปถอนหายใจยาว “แล้วจะเอาอย่างไรต่อ?”

ชายหนุ่มสวมผ้าปิดปากหัวเราะเบา ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความล้อเลียนระคนหมั่นไส้ที่สอดแทรกมากับคำพูดประโยคนั้น “ข้าตอนนี้จะไปทำอะไรได้” ว่าแล้วก็มองใบหน้าของอีกฝ่ายที่ครึ่งหนึ่งยังคงซ่อนอยู่ใต้เงาของหมวกปีกกว้าง แม้จะไม่เห็นแววตาของคู่สนทนาแต่ก็เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังอ้อนวอนขออะไรบางอย่างจากเขา “เจ้าซ่อนตัวให้ดีก็พอ”

“แล้วท่านล่ะ?”

อีกฝ่ายนิ่งไปครู่หนึ่งในขณะที่ลูบข้อมือขวาของตนอย่างเผลอไผล “ข้าพอคาดการณ์ได้ว่าเป้าหมายต่อไปของอิไลคืออะไร” เขาเอ่ยด้วยประโยคที่ฟังดูเผิน ๆ เหมือนไม่ได้ตอบคำถาม แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วให้สนูปถอยหลังไปหนึ่งก้าว มือขวายกขึ้นถอดหมวกออกและวางมันไว้แนบอกพร้อมกับคำนับเล็กน้อย

“ข้ารอฟังคำสั่งอยู่เสมอ” สนูปพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม แสงไฟอันน้อยนิดส่องกระทบเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าที่ถูกซ่อนเมื่อครู่ และดวงตาข้างซ้ายที่มีรอยกรีดพาดทับยาว แล้วชายหนุ่มก็รีบสวมหมวกกลับตามเดิมราวกับกลัวใครจะเห็นความผิดปกติบนใบหน้า และเดินออกจากทางเดินแคบ ๆ นั้นไปอย่างเงียบเชียบ

ดวงตาสีดำมองตามแผ่นหลังจนลับสายตาไปก่อนจะเอนหลังพิงกำแพงเย็นเยียบ นึกถึงคำแดกดันเมื่อครู่แล้วก็อดยกยิ้มเย้ยหยันตัวเองไม่ได้

“ข้าตอนนี้จะไปทำอะไรได้”

ราวกับคำพูดของตัวเองหันกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนนั้น…ล้วนไม่ต่างกัน

ตอนนั้น…ณ เวลานั้นที่เขาเห็นร่างบอบบางของเธอเป็นครั้งสุดท้าย ใบหน้าของเธอแม้จะเปรอะเปื้อนและเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน แต่ในสายตาของเขา เธอก็ยังงดงามมากว่าใคร งดงาม…แม้ริมฝีปากของเธอจะขาวซีดเพราะของเหลวสีแดงเข้มไหลที่ไหลทะเลจากจุดทวารทั้งเจ็ด

เขาที่ถูกอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นตรึงอยู่กับที่จนไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ ที่ทำได้…ก็มีแต่มองหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจกำลังจะตายไปต่อหน้าต่อตา

เขาจำได้ว่าตัวเองดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการพันธนาการมากขนาดไหน จำได้แม้กระทั่งตอนนั้นหัวใจของเจ็บปวดมากเพียงใด แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้เลย

“เจ้า…ต้องมีชีวิตอยู่ต่อ”

นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินเสียงของเธอ

นัยน์ตาสีดำที่เลื่อนลอยเมื่อครู่พลันแข็งกร้าว สายลมที่ไม่ควรจะพัดลอดผ่านเข้ามาในซอยแคบนี้กลับพลิ้วไหว ราวกับตอบรับอารมณ์ของชายหนุ่ม

เรื่องบางเรื่องสมควรถูกกลบฝังโดยไม่มีใครรื้อฟื้น เพราะมันไม่มีประโยชน์กับใคร ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ดิ้นรนอยากฟื้นฝอยหาตะเข็บเพียงเพื่อได้ครอบครอง ‘สมบัติ’ ที่ไม่เคยเห็นแม้แต่รูปลักษณ์ของมัน เพียงแค่เพื่อตอบสนองความโลภ กิเลส และตัณหาในใจมนุษย์

แต่เขาไม่สนหรอกว่า อิไล บลายน์ ต้องการสมบัติชิ้นนั้นไป ‘เพื่อ’ อะไร ที่เขาสนใจมีเพียงสมบัติชิ้นนั้นสมควรอยู่ในที่ของมัน

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาทำได้ใน ‘ตอนนี้’ คือการไม่มีใครหน้าไหนขุดมันขึ้นมาจากหลุมศพของ ‘ใคร’ ทั้งนั้น

.

.

.

To Be Continued 

** ลมทะเล คือลมที่พัดจากทะเลเข้าสู่ฝั่งนั่นเอง หลักการจะตรงกันข้ามกับ ลมบก ที่อธิบายไว้ในท้ายตอนที่แล้วค่ะ เป็นลมที่ช่วยให้ชาวประมงเข้าฝั่งได้ง่ายขึ้น

** ปลากะพงแดงกับปลาทูน่า เป็นปลาน้ำเค็มที่อยู่ในทะเลเขตอบอุ่นค่ะ คิดซะว่าพอร์ทรอยัลในเรื่องนี้ อยู่ในเขตทะเลอบอุ่นก็ได้นะคะ ^^

** หาข้อมูลนานมากว่าในช่วงศตวรรษที่ 17-18 ชาวประมงรักษาความสดของปลายังไง จนมาเจอว่า วิธีการเก็บรักษาปลาจากทะเลสดๆคือหมักเกลือค่ะ 

ตอนนี้ก็แค่…ตัวเอกอีกคนเพิ่งโผล่มาแค่ในเงามืด ค่าตัวแพงเหลือเกิน 55555

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ มาบู๊กัน 🙂

คอมเมนต์ติชมได้เลยนะคะ

#เล่ห์กลกะโหลกไขว้

Xeiji