Skip to content

The Piracy Vipe เล่ห์กะโหลกไขว้ – Chapter 1 : Port Royal

  • by

Chapter 1 : Port Royal

เหง่ง…หง่าง…

เสียงระฆังแปลกหูดังก้องกังวานด้วยแรงดึงของนายทหารเรือร่างใหญ่ เสียงทุ้มต่ำต่างจากระฆังบอกเวลายามดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าซึ่งเป็นเสียงแหลมเล็กพาให้บรรยากาศครื้นเครงยามบ่ายในเมืองท่าแห่งนี้แปรเปลี่ยนตั้งแต่วินาทีแรกของเสียงระฆัง ไม่ใช่เพราะเป็นเสียงที่แปลกหู หากแต่เพราะจุดประสงค์ในการใช้งานของมันต่างหาก

จังหวะการตีเป็นจังหวะจะโคนและสม่ำเสมอ ฝูงนกแตกฮือทุกครั้งที่ผิวระฆังถูกกระแทก

ไม่ต่างจากชาวเมืองที่ละมือจากกิจธุระของตน ใครที่กำลังจับจ่ายซื้อของสดก็ผละจากการต่อรองราคา พ่อค้าแม่ค้าเกือบทุกรายแทบจะทิ้งแผงและวิ่งตรงไปยังถนนสายหลักซึ่งตัดผ่านใจกลางเมือง และในเวลานี้มีนายทหารในเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มยืนเรียงเป็นแถวตรงตามแนวถนน บรรยากาศรอบกายรวมทั้งสายตาเครียดขึงนั้นทำให้ไม่มีใครสักคนที่คิดสั้นกล้าก้าวเท้าล้ำเส้น

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่อาจกั้นความอยากรู้อยากเห็นของฝูงชนได้ ต่างคนต่างชะเง้อมองจุดเริ่มต้นของถนนสายหลักซึ่งตัดผ่านใจกลางเมือง เห็นบ้างไม่เห็นบ้างตามอัตภาพและจำนวนประชาชนที่แห่กันมุงดูสิ่งที่กำลังจะเคลื่อนผ่านตรงหน้าพวกตน

“มาแล้ว!” เสียงตะโกนจากพลเมืองรายหนึ่งที่อยู่บนบ้านชั้นสองดังขึ้นนำเสียงคุยกันเบา ๆ เหมือนแมลงหวี่ของคนข้างล่าง สิ้นเสียงตะโกนนั้น เสียงแมลงหวี่ก็พลันระเบิดกลายเป็นเสียงพูดคุยดังสนั่น

แล้วที่จุดเริ่มต้นของถนนสายหลักอันเชื่อมกับท่าเรือของเมืองก็ปรากฏเงาร่างตะคุ่ม ๆ ตามด้วยเสียงรองเท้าติดแผ่นเหล็กนับสิบคู่กระทบพื้นหินเป็นจังหวะจะโคนพร้อมกัน ไม่นานนัก เจ้าของเสียงฝีเท้าหนักแน่นในเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มก็เดินเรียงแถวมาเป็นหน้ากระดานสามแถวตอนลึกพร้อมอาวุธครบมือ

ชาวเมืองส่งเสียงโห่ร้องยินดีต้อนรับจนอื้ออึง บ้างเป่าปาก เป่านกหวีด และเป่าแตรจนพื้นสะเทือนด้วยความชื่นชมในบุคคลในเครื่องแบบ

แกร๊ง…

เสียงอื้ออึงเหล่านั้นพลันค่อย ๆ ซาลงเมื่อโสตประสาทได้ยินเสียงของเหล็กกระทบกันก๊องแก๊งไม่เป็นจังหวะ เสียงที่ไม่ว่าใครก็คาดเดาได้ไม่ยากว่า ต้นกำเนิดเสียงนั้นคืออะไร เพราะนั่นคือเหตุผลที่ระฆังใบยักษ์ถูกใช้งาน

โจรสลัดมาแล้ว!” เสียงเดิมจากชั้นสองตะโกนลั่น

ใช่ เสียงระฆังนั้นคือเสียงสัญญาณเพื่อต้อนรับเหล่าโจรสลัดผู้ถูกทางการจับกุมตัว

เสียงสบถด่าขรมดังระงมจนฟังไม่ได้ศัพท์ยามร่างของชายฉกรรจ์หน้าตาขะมุกขะมอมและมีคราบเลือดเกรอะกรังหลายสิบคนเดินตามหลังกองทหารผู้มีใบหน้าสะอาดสะอ้าน ผิวของพวกเขาคล้ำแดดและเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ เสื้อผ้าที่ใส่กลายเป็นสีเข้มเพราะการต่อสู้ก่อนหน้านี้จนสภาพดูแทบไม่ได้

แกร๊ง…

ยามพวกเขาก้าวเดิน โซ่เหล็กที่พันธนาการทั้งข้อมือและข้อเท้าแต่ละคนก็ดังอย่างไร้จังหวะ โซ่แต่ละเส้นเชื่อมต่อกันยาวตั้งแต่ต้นแถวจนถึงท้ายแถว นั่นหมายความว่าหากคนหนึ่งล้ม ก็จะล้มทั้งแถว หมดสิทธิ์หลบหนีตัวคนเดียว

‘โจรสลัด’ เหล่านี้ดูสกปรกและน่าสิ้นหวังเมื่อต้องเดินตามกองทหารที่เครื่องแบบและอาวุธครบครัน แผ่นหลังงองุ้ม และก้มหน้าก้มตาราวกับยอมรับชะตากรรมที่รออยู่ หากแต่มีหนึ่งนั้นที่ท่าทางไม่ต่างจากกลุ่มคนที่เดินนำหน้าอยู่เลยแม้แต่น้อย ชายผู้นั้นเดินอย่างอกผายไหล่ผึ่ง และสายตานิ่งสงบมองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวเกรงราวกับว่าโซ่ที่พันธนาการตนอยู่ราวกับ ‘นักโทษ’ นั้นไร้ความหมายใด ๆ

“ไอ้พวกโจรสลัด! ตาย ๆ ไปซะ!”

“สมน้ำหน้า สุดท้ายแล้วยังไง ๆ พวกแกก็ต้องถูกจับ!”

“สมควรตาย!”

คำพูดหนึ่งที่กระทบโสตประสาทเรียกให้โจรสลัดผู้นั้นหันขวับไปมองทางต้นเสียง แม้ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่สายตาคมกริบเชือดเฉือนไม่แพ้วาจาและเต็มไปด้วยจิตสังหารที่ส่งออกมานั้นทำเอาคนพูดถึงกับถอยหลังกรูด และสะดุดขาตัวเองลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอาย

โจรสลัดผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปากอย่างนึกสมเพชก่อนหันกลับไปมองข้างหน้าตามเดิม ไม่ใส่ใจสายตาของชาวบ้านคนนั้น หรือนายทหารผู้คุมเส้นถนนและจ้องเขม็งอย่างรังเกียจเดียดฉันท์

แล้วขบวนทหารและนักโทษก็เคลื่อนตัวไปยังจัตุรัสใจกลางเมือง ส่วนเหล่าฝูงชนก็ทยอยเดินตามกันไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นโจรสลัดตัวเป็น ๆ ในสภาพที่ถูกพันธนาการจนไร้ทางสู้เช่นนี้

เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มตั้งแต่ยามที่ท่าเรือหลักต้อนรับการกลับมาของเรือราชนาวีลำใหญ่ จนกระทั่งทหารเรือกระชากเหล่าโจรสลัดให้เดินลงจากเรือด้วยกระดานไม้ และออกเดินไปตามถนนสายหลัก…

…เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งซึ่งยืนอยู่กราบเรือประมงของตน ดวงตาสีดำลอดมองผ่านเงาของปีกกว้างไปยังโจรสลัดเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่แสดงท่าทีครั่นคร้ามต่อแรงกดดันของทหารเรือทั้งกอง จับจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างตาไม่กะพริบ

ไม่ได้คาดหวังว่า กัปตันลาโบแห่งเรือลาร็องส์ จะรับรู้ แต่สุดท้ายแล้ว ใบหน้าขะมุกขะมอมและฟกช้ำก็ค่อย ๆ หันมาอย่างเชื่องช้า

ทั้งสองลอบสอดประสานสายตาโดยไร้ความพูด

ก่อนที่ชาวประมงจะเป็นฝ่ายก้มศีรษะลงเล็กน้อยท่ามกลางความประหลาดใจของกัปตันแห่งลาร็องส์ ก่อนภาพจะตัดหายไปเมื่อถูกแรงกระชากให้เดินลงจากระดานไม้

ชาวประมงก้มหน้าไว้เช่นนั้นจนกระทั่งรับรู้ได้ว่าทั้งกองพันจากไปแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นก่อนทอดสายตามองตามขบวนประจานเหล่าโจรสลัดผู้พ่ายแพ้ แม้จากจุดนี้จะไกลเกินกว่าจะเห็นรายละเอียดที่จัตุรัสได้อย่างชัดเจน กอปรกับมีฝูงชนหนาแน่นซึ่งมุงดูการ ‘ประหาร’ แต่เขาก็ยังเห็นเสาสูงหลายคู่ตั้งตระหง่าน

ร่างสูงโปร่งยืนนิ่งไม่ไหวติงยามเห็นเงาตะคุ่ม ๆ หลายร่างขยับไปมา ทั้งหยุดอยู่ตรงกลาง แล้วร่วงลงก่อนร่างกายจะกระตุกและแน่นิ่งค้างกลางอากาศ

เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังกระหึ่ม

…ตรงข้ามกับคนที่มองจากที่ห่างไกล ปวดหนึบข้างในจนพูดไม่ออก…

เปลือกตาปรือปิดพร้อมกับมือที่กำหมัดแน่น ก่อนที่เขาต้องเก็บซ่อนทุกอารมณ์เมื่อนายท่าเรือตะโกนเรียกเพื่อให้เขาแสดงสัญลักษณ์จองพื้นที่จอดเรือประมง สีหน้าและแววตาเปลี่ยนฉับไวราวกับสั่งได้ มือขวาซึ่งมีแถบผ้าสีขาวหม่นพันรอบข้อมือไว้นั้นยกขึ้นแตะปีกหมวกพร้อมกับที่เจ้าตัวฉีกยิ้มกว้างแทนการทักทาย

รอยยิ้มไม่ถึงดวงตา แต่นายท่าก็ไม่ทันได้สังเกต “ทำอย่างกับจำข้าไม่ได้” ชาวประมงหนุ่มหัวเราะเสียงดังขณะชูตราทองแดงทรงกลมประทับตรา ‘พอร์ทรอยัล’ ให้อีกฝ่ายเห็นชัด ๆ

“กฎต้องเป็นกฎเจมส์ ข้าไม่อยากโดนเมียข้าแหวกอก” นายท่าหัวเราะเบา ๆ ขณะจดบันทึกเรือเข้าออกเหมือนเช่นทุกครั้ง

“วู้ว ขนาดนั้นเลยนะ”

“แล้วไปทำอะไรมาถึงกลับมาเสียบ่าย?” นายท่าถามอย่างเป็นกันเองขณะลอบมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเนื้อตัวมอมแมมในเสื้อทูนิคแขนยาวตัวหลวมและมีเข็มขัดหนังรัดเอว กางเกงขายาวสีดำสอดอยู่ใต้รองเท้าบูทสีเดียวกันและดูมอซอไม่แพ้กัน ดูทะมัดทะแมงสมวัย…และหากเนื้อตัวสะอาดสะอ้านกว่านี้เสียหน่อย อีกฝ่ายก็น่าจะรูปงามกว่านี้ เพราะเจ้าตัวใช่ว่าเป็นคนหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่

เจมส์ยกยิ้มขณะถอดหมวกปีกกว้างออกเพื่อรวบเส้นผมสีดำเหลือบเขียวเข้มซึ่งยาวระต้นคอ “พายเรือเล่นน่ะ พายเรือเล่น” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

“เลยกลับมาจังหวะเดียวกับที่กองทัพเรือจับไอ้พวกโจรสลัดมาพอดี”

ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยพอดีกับที่ทำทรงผมหางม้าเล็ก ๆ เสร็จ “นั่นสินะ” เขาตอบเสียงเบาหวิว “พอดีจริง ๆ”

แต่เป็นจังหวะที่ไม่ดีเอาเสียเลย

เจมส์โบกมือลานายท่าที่ขอตัวไปตรวจเรือบดลำอื่นต่อ รอยยิ้มพลันเหือดหายเมื่ออยู่คนเดียว นัยน์ตาสีดำว่างเปล่ายามคว้าย่ามผ้าป่านขะมุกขะมอมขึ้นพาดบ่าและยามที่เขาปีนขึ้นจากเรือ สีหน้าดำทะมึนขึ้นหลายส่วนเมื่อสบมองจตุรัสกลางเมืองขณะที่เดินเข้าเมืองท่าไปอย่างไม่รีบร้อน

ริมฝีปากเหยียดยิ้มสมเพชเมื่อเห็นชาวเมืองกลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ ทั้งที่เมื่อครู่นี้ยังชุมนุมกันอย่างคับคั่ง เมื่อหลายชีวิตที่ถูกสาปส่งจากไป มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแสร้งทำว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เจมส์เลี้ยวขวาเข้าซอยเล็ก ตรงไปยังบ้านหลังน้อยซึ่งซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบหนึ่งของเมืองที่ไม่ได้รับความสนใจ

และเฝ้ารอ…ให้ราตรีมาเยือน

###

พอร์ทรอยัล

เป็นชื่อท่าเรือที่กลายมาเป็นชื่อเมืองท่าแห่งนี้ และตั้งอยู่ในประเทศอัสคาเรีย แม้มีขนาดไม่ใหญ่โตเท่าเมืองหลวง แต่กลับมีความสำคัญไม่แพ้เมืองหลวง หรือเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ของประเทศเลยแม้แต่น้อย เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการใหญ่ของกองทัพเรือโลก

ในช่วงทศวรรษแรก ๆ อาสคาเรียค้านหัวชนฝา หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ยอมให้กองทัพเรือแห่งโลกมาตั้งฐานทัพในเขตประเทศของตน แต่ด้วยตำแหน่งที่ตั้งของพอร์ทรอยัลอันเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดี และเป็นทางผ่านให้เรือสำเภาจากหลากหลายประเทศ…รวมไปถึงหลากหลายกองโจรเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเหตุปล้นชิงทรัพย์ไม่เว้นแต่ละวัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…จากจอมโจรแห่งน่านน้ำที่นับวันจะทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ

หรือที่เรียกขานกันว่า ‘โจรสลัด’

ก่อนที่กองทัพเรือแห่งโลกจะถือกำเนิด เหล่าโจรสลัดแทบจะยึดครองพื้นที่มหาสมุทรเป็นของตัวเอง ตั้งกองกำลังไว้ทุกมุมผืนน้ำจนเรือสำเภาค้าขายทุกลำที่อาจหาญค้าขายทางทะเลถูกปล้นสะดมจนเจ้าของเรือล้มละลาย หรือแม้กระทั่งไม่เหลือรอดชีวิตกลับมาล้มละลาย ณ บ้านเกิด

นับวัน ความเสียหายก็ยิ่งมากขึ้น ทวีคูณเป็นร้อยพันเท่าจนอาสคาเรียที่แม้จะไม่เต็มใจนัก ต้องยอมให้กองทัพเรือแห่งโลกตั้งศูนย์บัญชาการใหญ่ในเขตแดนของตน

แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลังจากกองทัพเรือแห่งโลกถือกำเนิดขึ้น จำนวนโจรสลัดก็ลดลงไปมาก พ่อค้าเรือสำเภาเริ่มวางใจที่จะเดินทางมายังพอร์ทรอยัลเพื่อทำการค้าขาย ผู้คนเริ่มกลับมาตั้งรกราก ณ เมืองท่าแห่งนี้ จนเมืองกลับมาเฟื่องฟูดังแต่ก่อน และมีบางอย่างที่เพิ่มเติมเข้ามา

นั่นก็คือ พิธีการลงโทษเหล่าโจรสลัดที่ถูกกองทัพเรือ ‘จับเป็น’

จัตุรัสใจกลางเมืองถูกดัดแปลงให้กลายเป็นลานประหารเหล่าคนนอกกฎหมายแห่งท้องทะเล เวทีไม้ยกสูงขึ้นจากพื้นตั้งอยู่กลางจัตุรัส ข้างบนนั้นเป็นเสาสูงวางเรียงกันหลายคู่พร้อมเชือกหนาสีขาวขุ่นที่ห้อยลงมาจากคาน หลายครั้งนับไม่ถ้วนที่จัตุรัสแห่งนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน และหลายครั้งนับไม่ถ้วนเช่นกันที่เชือกเส้นหนาเหล่านั้นพันรอบคอมนุษย์ และกระชากชีวิตให้หลุดจากร่างอย่างไม่อาจหวนกลับได้

เหมือนเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้

ร่างหนึ่งเดินฝ่าความมืดของราตรีกาลและหลบเลี่ยงแสงไฟจากคบเพลิงอย่างคล่องแคล่ว ด้วยชุดสีดำทั้งตัวและฝีเท้าอันเงียบกริบทำให้อาจหลุดรอดสายตาไปได้ง่ายหากไม่สังเกตให้ดี ๆ ร่างนั้นเดินไปตามแนวถนนอย่างไม่รีบร้อน มุ่งตรงไปยังจุดหมายปลายทางเบื้องหน้าที่คบไฟถูกจุดสว่างและวางโดยรอบ จึงสามารถเห็นสิ่งที่อยู่ใจกลางได้อย่างชัดเจน

แท่นไม้ยกสูงจากพื้นที่มีเงาตะคุ่มห้าร่างลอยอยู่ในอากาศ คอพับไปข้างหน้าโดยมีเชือกสีขาวขุ่นคล้องรอบคอ และร่างเหล่านั้นแน่นิ่งไม่ไหวติง ไร้สัญญาณใด ๆ ของชีวิต

เงาร่างของคนที่เดินฝ่าความมืดมายังจัตุรัสในกลางพอร์ทรอยัลชะงัก และหลีกเร้นกายอยู่ในเงามืดของซอกตึกที่แสงส่องไปไม่ถึง เขาเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้เพราะมีชายหนุ่มในเครื่องแบบทหารเรือสีน้ำเงินเข้มยืนคุมเชิงอยู่ทุกมุมพร้อมเชือกยาวสีแดงที่ล้อมกรอบจัตุรัสแห่งนี้ไว้

ไม่ช้า ก็มีนายทหารกลุ่มหนึ่งลากเกวียนคันใหญ่เข้ามาภายในจัตุรัส พวกเขาเดินขึ้นไปบนแท่นไม้ยกพื้นนั้นก่อนจะปลดร่างไร้ชีวิตของ ‘โจรสลัด’ ลงมาจากเชือกประหารโดยไม่รู้ตัวว่ามีใครอีกคนที่ไม่ได้รับเชิญเฝ้ามองอยู่

ดวงตาสีดำเฝ้ามองทหารกลุ่มนั้นโยนร่างที่ถูกประหารลงบนเกวียน นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นว่าศพเหล่านั้นถูกโยนลงเกวียนอย่างไม่ใยดี แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยกมือขวาขึ้นแตะหน้าผากและก้มศีรษะลงเล็กน้อย

              ขอให้มหาสมุทรโอบอุ้ม…

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามายืนมองพิธีการสุดท้ายของการลงทัณฑ์โจรสลัดที่ถูก ‘จับเป็น’ มาเพื่อประหารต่อหน้าผู้คนนับร้อย เมื่อโจรสลัดถูกจับเป็นโดยกองทัพเรือ พวกเขาเหล่านั้นจะถูกส่งตัวมาที่พอร์ทรอยัลแห่งนี้ ถูกล่ามโซ่และถูกบังคับให้เดินขึ้นแท่นไม้ประหาร สบตาผู้คนนับร้อยที่ส่งสายตาสาปส่งมาให้ก่อนที่เชือกเส้นหนาจะคล้องรอบคอ

มันไม่ยากที่จะจินตนาการถึงความรู้สึกทรมานชั่ววูบยามลมหายใจขาดหายก็จู่โจม

…ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดสนิด

ร่างไร้วิญญาณจะลอยอยู่เหนือแท่นประหารจนกระทั่งตะวันล่วงลับ ก็เพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงโทษที่หาญกล้าตั้งตัวเป็นอริกับกฎหมายที่มีชื่อว่า ‘กองทัพเรือ’ จากนั้นในคืนวันเดียวกันร่างเหล่านั้นก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังผาสูงริมทะเล

เปลี่ยนจากแท่นไม้ เป็นลอยเคว้งคว้างอยู่เหนือมหาสมุทร ปล่อยให้ร่างตากแดดลมฝนจนแห้งกรัง และกลายเป็นอาหารของแร้งกาจนเหลือเพียงแค่กระดูก

นี่แหละวิธีการของกองทัพเรือที่เขาเห็นมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ทำใจให้ชินไม่ได้เสียที

นัยน์ตาทอดมองกลุ่มทหารเรือเหล่านั้นจนกระทั่งลับสายตาไป จึงได้รู้ว่าถึงเวลาที่ตนต้องกลับที่พักเสียแล้ว แต่เพราะหางตาจับการเคลื่อนไหวบางอย่างได้ที่ฝั่งตรงข้ามของจตุรัส

เป็นเงาร่างของใครคนหนึ่งที่ยืนนิ่งพร้อมท่าทางที่ไม่ต่างจากเขาเมื่อครู่นี้ นั่นคือการใช้มือขวาแตะหน้าผากและก้มศีรษะลงเล็กน้อย

เขาหรี่ตาอย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะ ‘การไว้อาลัย’ เช่นนี้…มีแต่ ‘โจรสลัด’ ด้วยกันเท่านั้นที่ทราบ

ดูท่าแล้ว เงาปริศนานั้นก็คงเป็นโจรสลัดไม่ต่างกัน

และคงมีฝีมือมากพอตัวที่สามารถเร้นกายหลบหลีกสายตาของกองทัพเรือโลกได้ถึงเพียงนี้ รวมไปถึงประสาทสัมผัสก็เฉียบแหลมมากเสียจนรับรู้ได้ว่ามีใครอีกคนซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด

พวกเขายืนพิจารณาท่าทีกันและกันอยู่ใต้เงาและปลายจมูกของกองทัพเรือโลก ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างผละสายตาออกจากกัน และแยกย้ายกันไปอย่างเงียบเชียบ

ทิ้งจัตุรัสที่ว่างเปล่าไว้ข้างหลังเช่นนั้น

เงาร่างสีดำพลิ้วไหวมาจนถึงซอยเล็กอันแสนคุ้นเคย เขาปลดผ้าปิดปากออก และเปลี่ยนมาเป็นโพกศีรษะแทนเพื่อไม่ใครสงสัย รอยยิ้มหวานฉีกยิ้มทักทายชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของร้านเหล้าในซอยแห่งนั้น “สวัสดียามค่ำเรฟ” เขาทักทาย

“อ้าวเจมส์! ลืมของเหรอ?” เรฟทักกลับอย่างเป็นกันเองเช่นกัน ตัวเขากำลังลดหน้าต่างไม้ลงเพื่อปิดร้านตามกำหนดเวลา

“ใช่ ขึ้นเรือไปแล้วแต่นึกขึ้นได้ว่าข้าลืมถุงน้ำ!”

“อายุเท่าไรเองขี้ลืมเสียแล้ว” เรฟหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะคว้าถุงน้ำใต้เคาน์เตอร์และโยนให้ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าอย่างลวก ๆ แต่อีกฝ่ายก็รับได้อย่างง่ายดาย “เอาไปสิ ไม่คิดเงิน”

“แต่แลกกับปลากะพงแดงล่ะสิ?” เจมส์ยกยิ้มให้พร้อมกับเหน็บถุงน้ำไว้ที่เข็มขัดหนังรอบเอว

“แสนรู้นัก”

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ “ได้ตามนั้น รอปลาตัวโต ๆ ตอนเช้าได้เลย” เขาตอบก่อนโบกมือลาให้อีกฝ่าย และเดินตรงไปยังท่าเรือเพื่อปีนขึ้นเรือประมงลำเล็กของตน…ที่ซึ่งมีถุงน้ำบรรจุน้ำจืดไว้เสียเต็มวางอยู่บนกองแหซึ่งพับอย่างเรียบร้อยอยู่ที่มุมหนึ่งของเรือ

เพราะฉะนั้นแล้ว…เจมส์ก็แค่แสร้งเดินกลับไปเพื่อสร้างหลักฐานที่อยู่ก็เท่านั้น

“ฮึบ” เขาออกเสียงเบา ๆ ขณะกระตุกเชือกที่คล้องกับเสาท่าเรือให้หลุดออกมา แล้วเรือประมงลำน้อยก็ค่อย ๆ ลอยออกห่างจากท่าเรือโดยมีลมบกและไม้พายในมือของเจมส์เป็นตัวช่วย ปลายไม้พายแหวกผิวน้ำไปอย่างไม่รีบร้อนเพราะเจ้าตัวไม่คิดเร่งรัด ในเมื่อการล่องเรือหาปลาอย่างเอื่อยเชื่อยก็ยังมีสายลมอ่อน ๆ พัดกลิ่นทะเลมาแตะนาสิก

เจมส์สูดกลิ่นนั้นเสียจนชุ่มปอด

เขารักกลิ่นนี้…เขารักช่วงเวลานี้ได้ล่องเรือออกสู่ทะเล ได้ยินเสียงเรือแหวกผ่านผิวน้ำ ได้ยินเสียงเกลียวคลื่นกระทบตัวเรือ มันไพเราะยิ่งกว่าเสียงดนตรีจากเครื่องดนตรีใด ๆ เสียอีก

แม้ชีวิตอาจไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ความรู้สึกยามได้ออกทะเลก็ยังไม่แปรเปลี่ยน และชีวิตของชาวประมงก็สนุกไปอีกแบบเช่นกัน

“ฮืม…วันนี้ลมไม่ค่อยแรงเท่าไรนะ” เจมส์บ่นเบา ๆ กับตัวเองก่อนจะชำเลืองมองข้างหลัง ตอนนี้เรือของเขาอยู่ห่างพอร์ทรอยัลพอสมควร และรอบกายก็ไม่มีใครอยู่

เร่งสักนิดก็แล้วกัน

เสียงผิวปากดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เรือประมงลำน้อยจะเคลื่อนที่แหวกผิวน้ำในความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น แม้เจ้าของเรือไม่ได้แตะไม้พายเลยแม้แต่น้อยก็ตาม

.

.

.

To Be Continued

.

1. “ลมบก” >> เป็นลมที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืน เพราะตอนกลางคืนพื้นดินคายความร้อนได้ดีกว่าพื้นน้ำ ดังนั้นพื้นดินอุณหภูมิเลยต่ำกว่าพื้นน้ำ เท่ากับว่า อากาศเย็น = ความหนาแน่นสูง ในขณะที่พื้นน้ำคายความร้อนได้ช้ากว่าพื้นดิน ก็เลยอุณหภูมิสูงกว่า = อากาศร้อน = ความหนาแน่นน้อยกว่า พอหนาแน่นน้อยกว่า อากาศเหนือพื้นน้ำเลยลอยตัวสูงขึ้น ทำให้อากาศเย็นกว่าจากพื้นที่เคลื่อนเข้ามาแทนที่

ดังนั้นจึงเกิด “ลมบก” ค่ะ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นลมที่พัดจากชายฝั่งไปทะเล ซึ่งชาวประมงใช้จุดนี้ในการออกไปหาปลาตอนกลางคืนค่ะ

2. พอร์ทรอยัล >> ในโลกความเป็นจริง พอร์ทรอยัลเป็นเมืองบนชายฝั่งทางตอนใต้ของจาไมกาค่ะ ตอนแรกเป็นอาณานิคมของสเปน แต่ถูกอังกฤษโจมตีและยึดไปในปี 1655 พอร์ทรอยัลมีท่าเรือธรรมชาติ และน้ำลึกที่ทำให้เรือจอดทอดสมอไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นที่หลบภัยสำคัญของโจรสลัด เคยเกิดแผ่นดินไหวและภัยพิบัติมากมาย และในปัจจุบัน เป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ และเป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญ

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ 🙂

คอมเมนต์ติชมได้เลยนะคะ

#เล่ห์กลกะโหลกไขว้

Xeiji