5th Charm : ผู้เห็นเหตุการณ์
ดวงตาสีดำไล่มองหน้าหลักของเว็บไซต์ข่าวของพวกเขา ปกติแล้วเขามักเปิดดูเป็นประจำทุกวันอยู่แล้วเพื่อตรวจดูงานหลังบ้านของโปรแกรมเมอร์ผู้ดูแลเว็บไซต์ และตอนนี้เขาก็เปิดอยู่หน้าข่าวยอดนิยม ซึ่งแน่นอนว่าไม่พ้นข่าวคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่กำลังเป็นที่โจษจัณฑ์ในสังคมในขณะนี้
อรุณ กลศุล เป็นบรรณาธิการเว็บไซต์ SCM มาได้ 5 ปีแล้ว ทำข่าวอาชญากรรมมาทุกรูปแบบ ทั้งวิ่งราวธรรมดา ข่าวปล้นฆ่าชิงทรัพย์ ข่มขืนแล้วฆ่า ไปจนถึงฆ่าหั่นศพ แต่คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นนี้แปลกประหลาดกว่าทุกคดีที่เขาเคยเจอ แล้วยิ่งไม่รู้เหตุจูงใจของฆาตกร…ยิ่งทำให้น่ากลัวมากกว่าเดิม
ชายหนุ่มหันไปมองลูกน้องผ่านทางหน้าต่างห้องทำงาน บรรดานักข่าวในความปกครองของเขามีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และกลุ่มความหลากหลายทางเพศ พวกเขาล้วนผ่านการคัดสรรและคัดกรองมาเป็นอย่างดี ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเรื่องจรรยาบรรณของนักข่าว และความกล้าที่จะนำเสนอความจริงต่อประชาชน
แต่เพราะความกล้านี่ล่ะที่ทำให้เขาเริ่มเป็นกังวล
อรุณมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่มัดผมเป็นหางม้าเล็ก ๆ เขาคนนั้นเป็นทั้งลูกน้องและน้องรหัสสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าอีกฝ่ายนิสัยเป็นอย่างไร ยิ่งเห็นอีกฝ่ายจมจ่อมอยู่กับข่าวที่ตามติดแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แม้เขาจะกำชับผู้กองคนนั้นไว้เรื่องความปลอดภัยของนักข่าวในความดูแลของเขาไว้แล้ว ก็กังวลไม่หายว่ารุ่นน้องผู้จริงจังและหัวดื้อรายนั้นจะดึงดันทำข่าวจนไม่สนตัวเอง
อยู่ ๆ เขาก็เกิดกลัวว่าฆาตกรรายนั้นจะรู้ว่าใครเป็นคนทำข่าว และหันมาเพ่งเล็งอีกฝ่าย
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินออกจากห้องทำงาน เขาเดินไปเคาะกระดานไวท์บอร์ดเบา ๆ เพื่อเรียกความสนใจ “พวกคุณรีบกลับก่อนตะวันตกดินเถอะ ช่วงนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “งานไหนที่ยังไม่เสร็จก็ส่งมาให้ผมตรวจทางอีเมล์ก็ได้”
ทุกคนมองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากรับคำบก. พวกเขานัดแนะกันครู่หนึ่งแล้วจึงแยกย้ายกันไปเก็บของที่โต๊ะ รู้ดีว่าสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจที่ผู้เป็นหัวหน้าบอกนั้นหมายถึงอะไร
เกษมเดินไปหาชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยังคงนั่งนิ่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด “พิรัณ บก.อนุญาตให้กลับได้แล้วแน่ะ” เขาว่าพร้อมกับตบบ่าของอีกฝ่ายเบา ๆ
“อืม” พิรัณตอบรับในลำคอเบา ๆ เขาถอนหายใจยาวก่อนจะเริ่มต้นเก็บของเข้ากระเป๋า
“สีหน้าไม่ดีเลยนะ” ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นเหนือโต๊ะทำงาน พอเงยหน้าก็เห็นว่ารุ่นพี่ที่ควบตำแหน่งบก.ยืนอยู่ “คิดเรื่องคดีอยู่ล่ะสิ”
“ครับ” อีกฝ่ายยอมรับก่อนจะถอนหายใจยาว
“คุณเองก็บอกเบาะแสให้ตำรวจรู้แล้ว ทำใจให้สบายเถอะ” อรุณว่า เมื่อเช้านี้พิรัณเข้ามาคุยในห้องทำงานส่วนตัวของเขา บอกเรื่องที่อีกฝ่ายคุยกับผู้กองคนสนิทเกี่ยวกับแรงจูงใจและความเกี่ยวข้องระหว่างผู้ตายทั้งหมด เขายอมรับเลยว่าเป็นเรื่องที่น่าเขียนลงข่าวมาก แต่เพราะมันยังเป็นแค่สมมติฐานลอย ๆ เขาจึงยังไม่ให้พิรัณใส่เรื่องนี้ลงไปในข่าวคดีที่ 4
“แต่คุณเองก็ต้องระวังตัวด้วย ใครจะรู้ว่าคุณอาจกลายเป็นเป้าหมายของฆาตกรก็ได้ถึงคุณจะเป็นทาสแมวก็เถอะ”
พิรัณหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “ขอบคุณครับบก.” เขาตอบรับอีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้นยืน “บก.เองก็กลับก่อนพระอาทิตย์ตกนะครับ” แต่ถึงจะบอกไปแบบนั้น แต่เขาก็รู้ว่าหัวหน้าคนนี้คงไม่ได้กลับเร็วเหมือนอย่างที่บอกให้คนอื่นกลับแน่นอน
นักข่าวหนุ่มเดินมาที่มอเตอร์ไซคู่ใจหน้าตึก SCM เขามองนาฬิกาข้อมือแวบหนึ่งก่อนจะตัดสินใจแวะไปดูเจ้าตัวน้อยในซอยนั้นเสียหน่อย ดูท่าแล้ววันนี้มันคงมีอาหารกินเร็วกว่าปกติ เขาคว้าหมวกกันน็อคมาใส่ และวาดขาคร่อมที่นั่ง มือข้างหนึ่งเสียบกุญแจแล้วจึงสตาร์ทเครื่องยนต์
เมื่อรถเครื่องออกตัว เงาดำที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้สูงก็เคลื่อนตัวตาม ดวงตาสีเหลืองจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งนั้นอย่างไม่วางตา
###
เสียงเครื่องยนต์ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้เรียกให้เจ้าของร้านขายอาหารข้างทางเงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีปากของหญิงวัยกลางคนแย้มยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างที่คุ้นตาพร้อมมอเตอร์ไซคู่ใจจอดอยู่ที่จอดประจำ “ไงพ่อหนุ่ม วันนี้มาเร็วนะ” เธอเอ่ยแซวเมื่อชายหนุ่มมัดหางม้าถอดหมวกกันน็อคและเดินมาหาที่แผงขายอาหารของเธอ
“บก.ให้กลับเร็วน่ะครับ” ร่างสูงโปร่งตอบเรียบ ๆ ขณะที่ดวงตาสีดำมองกับข้าวในถาดอลูมิเนียม
“เอาอะไรดีล่ะ?” ป้าถามขณะที่ตักข้าวใส่จานกระดาษใบเล็กให้อย่างรู้งาน
เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าวคลุกไข่เจียวให้ตัวเล็กก็แล้วกันครับ ส่วนของผมเอาผัดเผ็ดปลาดุกใส่ถุง” เขาตอบ
“ได้จ๊ะ แป๊ปนึงนะ” อีกฝ่ายว่าก่อนจะตักไข่เจียวโปะบนข้าวให้ เมื่อยื่นให้ลูกค้าขาประจำ เธอก็หันไปตักผัดเผ็ดสีเข้มใส่กล่องกระดาษอย่างคล่องแคล่ว “รวมกับค่าอาหารเจ้าตัวเล็กที่ผ่านมาด้วยก็เป็น 150 บาทจ๊ะ”
“นี่ครับ” ชายหนุ่มยื่นธนบัตรสีแดงกับสีฟ้าให้เจ้าของร้านผู้ใจดี เขารับกล่องกระดาษมาใส่ถุงผ้าที่ติดกระเป๋า พอเงยหน้าขึ้นมาก็ชะงักไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายยื่นถุงแกงใส่แกงจืดมาตรงหน้า “ผมไม่ได้สั่งแกงจืดนี่ครับ”
“แถมจ๊ะแถม” หญิงวัยกลางคนฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับโบกมือไปมา “ช่วงนี้งานเธอน่าจะเยอะ แถมดูซีดเซียวไปเยอะเลย กินอะไรดี ๆ บำรุงร่างกายบ้างเถอะ”
“แต่…”
“อีกอย่างเธอก็เลี้ยงเจ้าตัวเล็กมาพักหนึ่งแล้ว ถือซะว่าให้รางวัลพ่อหนุ่มใจบุญบ้างจะเป็นไรไปล่ะ?” ป้าหัวเราะเบา ๆ ให้กับท่าทีเกรงใจของอีกฝ่าย นานแล้วเหมือนกันที่เธอไม่ได้เห็นชายหนุ่มวัยทำงานซื้ออาหารเลี้ยงเจ้าตัวน้อยไร้ที่พึ่งเป็นประจำไม่ขาดแบบนี้
หน้าตาก็ดี ใจก็หล่อ ถ้าเธอมีลูกสาวก็คงอยากให้แต่งงานกับคนแบบนี้
“ขอบคุณครับ” เมื่อโดนคะยั้นคะยอแบบนี้พิรัณก็ปฏิเสธไม่ลง ได้แต่ตอบรับน้ำใจที่หาได้ยากนี้ เขารับแกงจืดมาใส่ถุงผ้าและเก็บมันเข้ากระเป๋า จากนั้นเขาก็เดินถือข้าวไข่เจียวไปยังตรอกเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารข้างทางร้านนี้
ตรอกนั้นกว้างขนาดคนหนึ่งคนเดินผ่านได้ แต่เพราะว่าไม่มีไฟส่องถึง จึงไม่ค่อยมีใครอยากเดินผ่านเท่าไหร่นัก เขาเองก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่สิ่งที่เขาเจอเมื่อราวสองสัปดาห์ที่แล้วระหว่างที่เขากำลังซื้ออาหารจากร้านประจำ มันทำให้เขาแวะเวียนมาบ่อยขึ้น ตอนนั้นเขาได้ยินเสียงร้องเล็ก ๆ ดังเป็นระยะ ๆ พอหันไปถามป้าเจ้าของร้าน เธอก็ส่ายหน้าไม่รู้ เพราะก็เพิ่งได้ยินวันนี้เป็นวันแรก
พิรัณจึงเดินไปทางต้นเสียง และพบว่า…เป็นสิ่งมีชีวิตตัวน้อย เขาไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าอายุเท่าไหร่แล้ว ขนาดตัวใหญ่กว่า 1 ฝ่ามือเล็กน้อย ขนสีดำก็สั้น แต่ดวงตากลมโตไม่เข้ากับขนาดตัวของมันก็จ้องมองเขาราวกับวิงวอนขออาหาร เขากวาดตามองรอบตัวมัน และเห็นกล่องลังใบเล็กอยู่ข้างหลังมัน ในนั้นกล่องลังนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากผ้าผืนเล็ก 2 ผืนเลอะเกรอะกรัง
ดูท่า…คงถูกเจ้าของทิ้งมา ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวไกลไปมากแค่ไหน แมวดำก็ยังคงไม่เป็นที่รักของคนบางกลุ่มอยู่ดี
“เมี้ยว…”
เจ้าลูกแมวโชคดีแล้วที่ได้มาเจอ ‘ทาสแมว’ อย่างพิรัณเข้า…แม้ว่ามันจะร้องขออาหาร แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ พอเขาขยับเข้าไปหา มันก็ถอยหนี
พิรัณจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหมั่นแวะเวียนมาให้นมแพะ เขาคิดว่าถ้ามันยอมให้เขาจับเมื่อไหร่ เขาจะพามันไปศูนย์อนามัยฯ ที่ใกล้ที่สุด จนกระทั่งผ่านมาสัปดาห์กว่า ๆ เจ้าตัวเล็กก็มีทีท่าอ่อนลงแม้จะยังไม่ยอมให้เขาจับก็ตาม ชายหนุ่มคาดว่าสัปดาห์หน้ามันน่าจะยอมให้เขาอุ้มแล้ว
แต่กลายเป็นว่าคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขายุ่งมาเสียจนไม่มีเวลาแวะเวียนมาหาเจ้าตัวเล็ก เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากโทรมาฝากป้าร้านอาหารให้เอาอาหารอ่อน ๆ ที่ไม่ใช่ปลาทูไปให้มัน แล้วให้จดลงบัญชีในชื่อของเขาไว้
วันนี้โชคดีแล้วที่มีโอกาสได้มาเจอเจ้าตัวเล็ก
พิรัณระบายยิ้มที่หาได้ยากเมื่อนึกถึงเจ้าลูกแมวดำ ไม่รู้มันจะยังจำเขาได้หรือไม่ คราวก่อนแม้มันไม่เข้ามาใกล้ แต่มันก็ยอมมากินนมในขณะที่เขาจ้องมองมันอยู่ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากอุ้มกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็จนใจเพราะห้องพักของเขาไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์
เมื่อเดินไปถึงตรอกนั้น อยู่ดี ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งพุ่งพรวดออกมาทำเอาเขาแทบก้าวหลบไม่ทัน ดวงตาสีดำมองตามแผ่นหลังเล็กนั้นไปอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร ชายหนุ่มเลิกสนใจคน ๆ นั้นก่อนจะก้าวเข้าไปในตรอกที่คุ้นเคย
แต่ฝีเท้าของเขาก็ต้องชะงัก…เมื่อเห็นกล่องลังและถาดข้าวถูกกระจาย ส่วนเจ้าตัวเล็กที่เขาตั้งใจมาเจอนั้นก็หายไปแล้ว
พิรัณเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ถลันเข้าไปใกล้และกวาดสายตามองภายในกล่องลัง เมื่อไม่เจอ เขาก็เปิดไฟฉายมือถือส่องหาทั่วทั้งบริเวณ เพราะเจ้าตัวเล็กขนสีดำอาจทำให้หายากบ้าง
แต่จนแล้วจนรอดเขาก็หาไม่เจอ…
“โธ่…” เขาทอดถอนใจด้วยความเสียใจ ไม่รู้ว่าข้าวของพวกนี้อยู่ในสภาพนี้มานานแค่ไหนแล้ว ถ้าหากผ่านมาหลายวันแล้วเขาก็คงหามันไม่เจอแล้ว แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ป้าร้านอาหารน่าจะบอกเขา ไม่น่าปล่อยให้เขามาเจอแบบนี้
หรือว่าเมื่อกี้นี้…. ในใจพาลนึกถึงหญิงสาวคนเมื่อครู่ที่เขาเกือบชนเมื่อครู่ เขาจำได้ว่าใบหน้าด้านข้างของเธอเหมือนกันกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่าง ซึ่งคนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีนั้นมักจะทำลายข้าวของเพื่อระบายอารมณ์ แล้วถ้าสิ่งที่ระบายอารมณ์ใส่…เป็นเจ้าตัวเล็กล่ะ?
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจนัก ใจอยากนึกตามหาเจ้าหล่อนแล้วต่อว่าเสียหน่อย แต่ก็จนใจเพราะป่านนี้เธอคงเดินไปไกลแล้ว เขาจึงได้แต่เก็บอารมณ์หงุดหงิดนั้น และลุกขึ้นเดินออกจากตรอก
“กรี๊ดดด!!!”
เสียงกรีดร้องดังลั่นทำเอาเขาสะดุ้งจนขนหัวลุก เพราะมันทั้งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความตกใจ พิรัณมองไปยังทิศทางฝั่งตรงข้ามกับร้านขายข้าวแกงซึ่งเป็นทิศที่เขาแน่ใจว่าเป็นต้นเสียงของเสียงกรีดร้องนั่น ร่างกายที่ไวกว่าความคิดก็วิ่งไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นว่าเขาเป็นคนแรกที่ไปถึงตรอกเล็กอีกตรอกหนึ่งที่อยู่ถัดไป ภายในตรอกมืดและเปลี่ยวไม่แพ้กัน ชายหนุ่มจึงหยิบมือถือออกมาเปิดไฟฉายพร้อมกับค่อย ๆ ก้าวเข้าไป ภายใต้บรรยากาศที่เงียบงันอย่างน่าประหลาดจนพาให้ขนอ่อนลุกชัน เขาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัว และเสียงหอบหายใจสั่น
เสียงใคร?
รอบกายเขามืดสนิท มีเพียงแสงจากมือถือที่ส่องไปตามพื้นคอนกรีต พลัน ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงัก เพราะแสงแฟลชสีขาวสาดกระทบกับนิ้วมือขาวซีดบนพื้น ลมหายใจของพิรัณกระตุก เขารู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นที่เริ่มไหลออกมาตามไรผม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลื่อนมือถือขึ้นให้แสงไฟไล่ไปตามฝ่ามือ ท่อนแขน หัวไหล่ และไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ…
ลมหายใจหยุดชะงัก ดวงตาสีดำเบิกกว้างด้วยความตกใจ
แม้ว่าเขาจะเคยเห็นหน้าหล่อนแค่ครึ่งเดียวและเพียงชั่วขณะ เขาก็จำได้ว่าใบหน้าของเธอกับใบหน้าของร่างไร้วิญญาณไร้เลือดเนื้อที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นนั้นเป็นคน ๆ เดียวกัน!
โกหกน่า… โชคดีที่ประสาทของชายหนุ่มค่อนข้างแข็งพอสมควรเพราะทำงานอยู่ในสายอาชญากรรมมาหลายปี เขาจึงกดโทรออกหานายตำรวจผู้คุ้นเคยอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ปลายสายกดรับ เขาก็กรอกเสียงลงไปทันที “ผู้กอง…ผม…” เมื่อพบว่าเสียงตัวเองสั่นเล็กน้อยก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง “ผมเจอศพที่ 5 ที่ซอยใกล้กับร้านขายข้าวแกงร้านประจำครับ” ทันทีที่พูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายจากปลายสายทันที
[ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ นายรีบถอยออกมา!]
แล้วสายก็ถูกตัดไป นักข่าวหนุ่มถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกขึ้นเปราะหนึ่งเมื่อได้แจ้งตำรวจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจห้ามใจให้เข้าไปดูใกล้ ๆ ได้ตามสัญชาติญาณอยากรู้อยากเห็นของนักข่าว เขาโยนคำสั่งห้ามของอนุศรไปข้าง ๆ และตัดสินใจส่องไฟมือถือไปที่ศพของหญิงสาวอีกครั้ง
แม้ใจจะเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นแค่ไหน เขาก็ไม่อาจหยุดการกระทำของตัวเองได้
สภาพศพของเธอเหมือนกับที่เขาเคยเห็นในภาพถ่ายที่เกิดเหตุทุกประการ ที่หน้าอกของเธอมีมีดหนึ่งเล่มปักจนมิดด้าม สีหน้าของเธอแม้เลือดเนื้อเหือดแห้งก็รู้ได้ไม่ยากว่าก่อนตายอยู่ในอาการตื่นตระหนกมากแค่ไหน ตามผิวกายของเธอก็เหมือนถูกสูบเลือดสูบเนื้อออกไปจนเหลือแต่ผิวหนังหุ้มกระดูก
“หือ?” เขาขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจจนต้องคุกเข่าข้างหนึ่งและก้มตัวลงดู เขาพบว่าเมื่อไล่แสงไฟไปตามท่อนแขน ไล่ลงมาที่ปลายนิ้วของเธอ แม้ว่าทุกอย่างจะแห้งเหือดไปแล้ว แต่เล็บที่เป็นของแข็งยังไม่หายไปไหน และที่ปลายเล็บของเธอกลับมีรอยสีแดงคล้ำติดอยู่
เลือดหรอ?
“เมี้ยว!” เสียงแมวขู่ร้องดังลั่นทำเอาเขาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ พอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสาดแสงแฟลชไปทางต้นเสียง ก็พบกับดวงตาสีส้มที่เบิกโพลง รูม่านตาทั้งสองคู่หดลีบเล็กยามถูกแสงไฟส่องใส่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าคือ ขนาดตัวของมัน
แมวสีดำตัวใหญ่เกือบเท่ากับสุนัขยืนขนฟู่ฟ่อง แยกเขี้ยวกางเล็บอยู่ตรงหน้าเขา ท่าทางพร้อมที่จะกระโจนใส่เขาได้ทุกเมื่อ
พิรัณไม่เคยเห็นแมวพันธุ์ไหนที่ตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน!
ร่างสูงโปร่งค่อย ๆ ยันกายให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างเชื่องช้า ไม่กล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น เพราะสัญชาติญาณร้องบอกว่า หากเขารีบร้อนหันหลังให้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเล็บยาวและคมกริบนั้นต้องตวัดผ่านผิวหนังของเขาแน่ ๆ ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ ก้าวถอยหลังทีละก้าว
แต่กลายเป็นว่าแมวดำตัวเขื่องนั้นก็ก้าวเข้ามาใกล้ตามจังหวะการก้าวเดินของเขาเช่นกัน
แมวพันธุ์อะไรกัน!
ยิ่งก้าวถอยหลัง เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันพร้อมจะกระโจนใส่!
ปึก…
พิรัณสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อแผ่นหลังของเขากระทบกับอะไรบางอย่างข้างหลัง เขารีบหันขวับไปดูก็พบกับใบหน้าแบบชาวตะวันตกที่คุ้นตาแต่ไร้รอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง ดวงตาสีทองใต้กรอบแว่นจ้องเขม็งไปยังแมวดำยักษ์ตรงหน้าเขา
“อาจารย์…” เสียงทุ้มของเขาถูกกลืนลงลำคอเมื่อฝ่ามือหนาแตะไหล่ของเขาเบา ๆ ราวกับต้องการจะบอกว่าไม่เป็นอะไร นักข่าวหนุ่มจึงปิดปากสนิท มองแววตาของอีกฝ่ายที่แข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยความประหลาดใจ
เอเดรียนกับแมวดำตาส้มตัวนั้นจ้องหน้ากันโดยไม่มีใครขยับเขยื้อน ในขณะนั้นพิรัณก็ไล่สายตาลงมาก็พบว่าข้อมือของมือขวาที่วางอยู่บนไหล่ของเขานั้นมีรอยข่วนเป็นทางยาว
หือ?
“คุณไม่เป็นไรอะไรใช่ไหม?” น้ำเสียงห้าวถาม ทำเอาคนที่กำลังขมวดคิ้วอยู่นั้นสะดุ้งเล็กน้อย พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เป็นประกายอ่อนโยนในดวงตาสีทองเหมือนเดิม ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ระบายยิ้มเหมือนที่เจ้าตัวชอบทำ
พิรัณส่ายหน้าเป็นการตอบรับก่อนจะรีบหันไปมองตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง แต่กลายเป็นว่าที่ตรงนั้น…นอกจากศพของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก
ไม่มีร่างของแมวดำยักษ์ตัวนั้นแล้ว
เขารู้สึกเหมือนตัวเองมือซีดจนเย็นเฉียบ
“พิรัณ!!!” เสียงตะโกนร้องเรียกชื่อดังลั่น ทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้วของวัน นักข่าวหนุ่มหันหลังไปมองทางต้นเสียง และพบกับนายตำรวจผู้คุ้นหน้าคุ้นตาวิ่งกระหืดกระหอบมา ข้างหลังอีกฝ่ายนั้นเป็นรถตำรวจหลายคัน และเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบที่กรูกันลงมาจากรถ อีกส่วนหนึ่งก็รีบกั้นพื้นที่อย่างรวดเร็ว
“ผู้กอง” พิรัณสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
อนุศรเห็นสีหน้าไร้สีเลือดของชายหนุ่มแล้วใจแกว่ง เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายดูตกใจขนาดนี้มาก่อน “นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เขาถาม
อีกฝ่ายส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะชี้ไปข้างหลังเขา “ศพอยู่ตรงนั้นครับ” เขาพูดด้วยเสียงปกติที่พยายามซ่อนความสั่นระริกเอาไว้อย่างเต็มที่ น้ำเสียงแบบนั้นชวนให้ผู้กองเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนเจอศพคนแรกเลยพาลให้ตกใจจนหน้าซีดตัวสั่น
นายตำรวจพยักหน้ารับก่อนจะส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่คนอื่นเข้ามาตรวจสอบ ส่วนเขาก็พยักเพยิดหน้าให้พิรัณกับชายหนุ่มต่างชาติขยับให้ห่างจากสถานที่เกิดเหตุ พอก้าวออกมาตรงที่มีแสง เขาก็ยิ่งเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นขาวซีดจนน่ากลัวจริง ๆ
“นายไปพักก่อนไหมแล้วฉันค่อยมาสอบปากคำในฐานะพยานคนแรก และเห็นผู้ตายเป็นคนสุดท้าย?” แม้จะเห็นใจมากแค่ไหน แต่อนุศรก็ยังคงต้องทำตามหน้าที่ แต่พิรัณกลับส่ายหน้าอีกครั้ง
“ผมไม่เป็นไร ผู้กองถามมาเถอะ” เขาพูดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง
นายตำรวจถอนหายใจยาวอย่างอ่อนใจ “ในเมื่อนายยืนกรานแบบนั้น…” เขากวักมือเรียกนายตำรวจชั้นผู้น้อยอีกคนให้เอาเครื่องอัดเสียงพร้อมกับปากกาและสมุดจดมาด้วย “…เล่าเหตุการณ์ตอนเจอผู้ตายให้ฟังหน่อย อ้อ อาจารย์ก็อยู่ด้วยกันนะครับ เพราะคุณก็อยู่ตรงนั้นเหมือนกัน”
เอเดรียนพยักหน้ารับเงียบ ๆ ส่วนพยานปากเองก็เงียบไปครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงว่าจะเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนไหนดี “วันนี้บก.อรุณให้พวกเรากลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตก เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่ ผมก็เลยแวะร้านอาหารร้านประจำเพื่อซื้ออาหารให้ตัวเองแล้วก็ให้เจ้าตัวเล็ก ตอนนั้นน่าจะตอนประมาณ 6 โมงเย็น”
อนุศรอมยิ้มเล็กน้อย เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายเทียวไปเทียวมาแถวนี้เพื่อให้อาหารเจ้าแมวดำตัวเล็กมาได้สองสัปดาห์แล้ว แต่อาจารย์ต่างชาติที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“ตอนที่ผมกำลังจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกนั้น ผมก็เกือบชนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูท่าทางหงุดหงิดพอสมควร ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเธอ พอผมเข้าไปในตรอก ผมก็พบว่ากล่องลังกับอาหารของเจ้าดำ…ถูกเตะกระจายเลย” พิรัณเม้มปากเมื่อย้อนนึกถึง “ผมเสียเวลามองหามันอยู่ราว ๆ เกือบ 10 นาทีได้ แต่ก็ไม่เจอตัว ผมก็เลยตัดใจและเดินออกจากตรอกนั้นครับ แต่พอก้าวออกมาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้อง ผมก็เลยรีบวิ่งไปทันที”
คิ้วหนาของเขาขมวดเข้าหากันเมื่อเล่าใกล้ถึงฉากสำคัญ “ตรอกนี้มืดและเปลี่ยวพอกัน ผมก็เลยใช้แฟลชมือถือส่องไปตามทาง แล้วผม…ก็เห็นเธอครับ” เขาเล่าต่อ “ถึงผมจะเห็นหน้าเธอแค่แวบเดียว แต่ผมก็จำได้ว่าเธอเป็นคน ๆ เดียวกับที่เกือบชนผมที่ตรอกแมวนั้น”
อนุศรขมวดคิ้วมุ่น “หมายความว่าผู้หญิงคนนี้ถูกสังหารหลังจากที่เจอนาย และถูกสูบเลือดจนหมดตัวภายในเวลาแค่ราว ๆ 10-15 นาทีเท่านั้นน่ะสิ?” ท้ายประโยคของเขาเบาหวิว “จะเป็น…ไปได้ยังไง?”
ในโลกนี้จะมีอะไรที่สูบเลือดสูบเนื้อคนภายในเวลาแค่นั้นได้กัน!
“และสิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่แค่นั้นครับผู้กอง” พยานปากเอกเอ่ยต่อทันที “ไม่ใช่แค่เงา ผมเห็นแมว…ผมเห็น ‘แมวดำ’ ตัวใหญ่ข้างศพครับ”
“…”
วินาทีนั้นไม่มีใครเอ่ยอะไรแม้แต่นายตำรวจที่เป็นคนจดการให้ปากคำก็นิ่งค้างไป
อนุศรรู้ดีว่ารุ่นน้องของเพื่อนสนิทคนนี้ไม่ใช่คนสมองเลอะเลือน ไม่ใช่คนที่งมงาย และไม่ใช่คนที่เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ดวงตาสีดำที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ และสีหน้าที่ซีดเผือดขนาดนี้บอกได้อย่างชัดเจนว่า…สิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง
“ผมเองก็เห็นเหมือนเขาครับ” อยู่ดี ๆ อาจารย์หนุ่มที่เงียบมานานก็เปิดปาก ทำเอาทุกคนหันไปมองเขาเป็นตาเดียวกัน เขากระแอมเล็กน้อยเมื่ออยู่ดี ๆ ก็ได้รับความสนใจ “คือผมมีนัดกับคนรู้จักน่ะครับ แล้วทางนี้เป็นทางผ่านพอดี ผมเห็นเขาผลุนผลันวิ่งมาที่ตรอกนี้ ก็เลยตามมาดูตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นน่ะครับ”
“…”
เป็นอีกครั้งที่ทุกคนพูดอะไรไม่ออก ส่วนเอเดรียนก็ระบายยิ้มเช่นเดิมราวกับไม่ทุกข์ร้อนอะไร “ผมเห็นเขาตัวแข็งทื่อเลยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พอจะเข้าไปทัก…ผมก็เห็นแมวดำอย่างที่เขาเห็นครับ”
อนุศรเบือนสายตามามองพยานปากเอกอีกครั้งเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายจึงพยักหน้ารับเป็นการยืนยัน นายตำรวจหนุ่มจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจเบา ๆ “เก็บรวบรวมหลักฐานให้เรียบร้อย แล้วส่งข้อมูลให้ SCM เหมือน…ไม่สิ เอาอีเมล์นี้ไป ส่งเข้าเมล์นี้แทนนะ” เขาหันไปสั่งงานกับลูกน้องพร้อมกับยื่นนามบัตรใบหนึ่งให้อีกฝ่าย พิรัณมองแวบหนึ่งก็รู้ว่าเป็นนามบัตรของใคร
“ส่งเข้าเมล์ผมก็ได้ครับ ไม่ต้อง…”
“ถึงนายจะเป็นนักข่าว SCM ที่เห็นเหตุการณ์คนแรก และตามข่าวนี้มาตั้งแต่แรก แต่ฉันถามจริง สภาพนายตอนนี้จะทำอะไรไหว?” อนุศรขัดทันที นึกหงุดหงิดที่นักข่าวหนุ่มคนนี้ไฟแรงและจริงจังกับงานจนลืมดูสุขภาพตัวเอง มันทำให้เขานึกถึงใครบางคนตงิด “ให้ไอ้อรุณมันจัดการต่อน่ะดีแล้ว เดี๋ยวฉันเป็นคนโทรไปบอกเขาเอง โอเคนะ? จบนะ?”
“…”
“กลับไปพักเถอะ ซีดเบอร์นี้นึกว่าขาดเลือด ถ้าต้องถามอะไรเพิ่มเติม ฉันจะโทรไปหานายเอง”
“เดี๋ยวผมไปส่งเขาเองครับ ผมเอารถมา” อยู่ดี ๆ เอเดรียนก็โพล่งออกมา ทำเอาผู้กองเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ แต่พอเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของนักข่าวหนุ่มแล้ว เขาก็พลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย
“เออ ก็ดีนะ” นายตำรวจหนุ่มยิ้มอย่างโล่งใจก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มชาวต่างชาติ “งั้นคงต้องรบกวนอาจารย์แล้วล่ะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ” เอเดรียนยิ้มรับ แต่คนโดนดูแลกลับมุ่ยหน้าเล็กน้อย
“ผมกลับเองได้ ไม่เป็นไรหรอก” พิรัณปฏิเสธเสียงเรียบที่แฝงด้วยความไม่พอใจ รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นภาระทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้อาการแย่ขนาดนั้น
“ขืนกลับเองมีหวังได้รถล้มระหว่างทาง อีกอย่าง เดี๋ยวอรุณมันจะตามมาเฉ่งฉันว่าไม่ดูแลลูกน้องในสังกัดมัน” ผู้กองยืนกรานเสียงแข็ง แต่ข้ออ้างข้อหลังทำให้คนฟังกลอกตาไปมา เพราะอดคิดไม่ได้ว่าเป็นห่วงจริง ๆ หรือกลัวโดนด่ากันแน่ “ส่วนมอเตอร์ไซของนาย ฉันจะให้ลูกน้องเอาไปส่งที่ออฟฟิศ SCM เอง ไม่ต้องห่วง”
คนถูกบังคับมองหน้านายตำรวจทีหนึ่ง หันไปมองอาจารย์หนุ่มทีหนึ่ง เมื่อเห็นสู้ไม่ไหวแล้วจึงได้ทอดถอนใจ “รบกวนด้วยครับ” เขาเอ่ยกับคนที่ต้องไปส่งซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มนิด ๆ เหมือนเดิม
อนุศรฉีกยิ้มให้กำลังใจ “ไป ๆ กลับไปพักไป” เขาพูดพร้อมกับโบกมือไล่ ส่วนตัวเขานั้นก็เดินไปตรวจสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง ปล่อยให้อีกสองคนเดินออกจากเขตเทปกั้นสีเหลือง
รถของเอเดรียนเป็นรถซีดานสีดำยี่ห้อดังคันเล็กเหมาะกับการหาที่จอดในกรุงเทพฯ มันจอดอยู่ในซอยฝั่งตรงข้ามกับตรอกที่เกิดเหตุ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าของรถถึงได้บังเอิญเห็นนักข่าวหนุ่มวิ่งเข้าไปในตรอกนั้น
หลังจากที่อีกฝ่ายกดปลดล็อคประตูรถแล้ว เขาก็แทรกกายเข้าไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับก่อนจะหันไปมองร่างสูงกำยำที่ทรุดตัวลงนั่งที่เบาะคนขับ “ลำบากคุณเลย” พิรัณถอนหายใจยาว
“แค่ขับรถไปส่งไม่ใช่เรื่องยากหรอกครับ” เอเดรียนยกยิ้มเล็กน้อยขณะสตาร์ทรถ และคาดเข็มขัดนิรภัย “เอาล่ะ บ้านคุณอยู่แถวไหนหรอครับ?”
“ความจริงแล้วห้องพักของผมไม่ไกลจากตรงนี้หรอกครับ แค่ 20 นาทีก็ถึงแล้ว” เขาตอบพร้อมกับคาดเข็มนิรภัยของตัวเอง “ออกไปที่ถนนใหญ่ เลี้ยวขวา แล้วขับตรงไปเรื่อย ๆ ผ่านสี่แยกที่มีโรงพยาบาล แล้วก็ตรงต่อไปอีกแป๊ปเดียวก็ถึงครับ”
“Got it” อาจารย์หนุ่มรับคำก่อนจะออกรถ ท่าทางการขับของเขาทำให้เขาพิรัณประหลาดใจเล็กน้อย เขาจำได้ว่าฝั่งพวงมาลัยของประเทศไทยกับฝั่งประเทศยุโรปอยู่คนละฝั่งกัน ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะปรับตัวได้หากต้องขับสลับฝั่งกัน แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคน ๆ นี้เลย
ระหว่างนั้นสายตาเขาก็ลอบจับจ้องไปที่ข้อมือขวาของอีกฝ่าย แม้แขนเสื้อจะขยับไปมาจนเห็นไม่ชัดว่ามีรอยข่วนหรือไม่ แต่เขาก็ยังเห็นจาง ๆ อยู่
รอยข่วนนั่น… มันชวนให้เขานึกถึงรอยเลือดที่ติดอยู่บนเล็บของหญิงสาวที่ตายไป เพราะรอยนั่นเหมือนเพิ่งเกิดได้ไม่นาน เขาตวัดสายตามองใบหน้าด้านข้างที่กำลังมองทางอย่างตั้งใจ แสงไฟจากท้องถนนสะท้อนเลนส์แว่นทำให้ไม่เห็นแววตาของดวงตาสีทอง เขามั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอนที่เห็นสายตาอันแข็งกร้าวนั้นตอนประจันหน้ากับแมวดำยักษ์
แม้ไม่อยากสงสัยอีกฝ่าย แต่สถานการณ์ทุกอย่างมันชวนให้เขาอดคิดไม่ได้จริง ๆ
“หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรอครับ?” เอเดรียนเอ่ยปากถาม ทำเอาคนแอบมองสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เพราะเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองมาทางเขาเลย แล้วรู้ได้ไงว่าเขามองอยู่!
“เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าอาจารย์ดูคุ้นเคยกับถนนกรุงเทพฯ ดีเท่านั้นเอง” นักข่าวหนุ่มแก้ตัวเสียงเรียบก่อนจะหันไปมองทางข้างหน้า “ผังเมืองมันค่อนข้างวุ่นวาย แม้แต่คนกรุงเทพฯ เองยังสับสนเลย”
ชาวต่างชาติหัวเราะเบา ๆ “ขับบ่อย ๆ ก็ชินครับ” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี และหลังจากที่เขาพูดจบก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก
คนหนึ่งกำลังครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนอีกคนก็ลอบมองผู้ร่วมเดินทาง ดวงตาสีทองหรี่ลงเล็กน้อยขณะเหลือบมองทางหางตา
คน ๆ นี้จะช่างสังเกตเกินไปแล้ว
“ถึงแล้วครับ อาจารย์จอดข้างหน้านี้ก็ได้” พิรัณร้องบอกเมื่อเห็นอาคารที่พักที่คุ้นเคย แล้วรถซีดานสีดำก็ชะลอความเร็ว และจอดอยู่ใกล้ ๆ กับทางเข้าตัวอาคาร “ขอบคุณมากครับที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ” คนมาส่งยิ้มบาง ๆ ให้เหมือนเช่นทุกครั้ง
นักข่าวหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย แต่มือที่กำลังจะเปิดประตูรถก็ชะงักไป ภาพของแมวดำที่ยังติดอยู่ในหัวทำให้เขาลังเลที่จะลงไปตอนนี้ “อาจารย์เอเดรียน” เขาเรียกอีกฝ่ายก่อนจะหันหน้าไปหา “ผมมีเรื่องอยากถาม”
“วันนี้คุณพักผ่อนก่อนเถอะครับ วันนี้คุณเหนื่อยมากแล้ว” เอเดรียนท้วง “พรุ่งนี้บ่ายสองผมว่าง ไว้ตอนนั้นมีอะไรค่อยถามผมดีกว่า”
พิรัณถอนหายใจ “ก็ได้ครับ ผมจะไปหาที่มหาลัยก็แล้วกัน” เขายอมแพ้ และก้าวลงจากรถไป
ดวงตาสีทองมองแผ่นหลังที่หายเข้าไปในตัวอาคารก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองรอยข่วนยาวที่ข้อมือของตน เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็น และจับจ้องอย่างไม่วางตาขนาดนั้น พอถูกเห็นเข้าแล้วอยู่ดี ๆ แผลหายไปอย่างรวดเร็วมันน่าจะเป็นที่สงสัยมากเกินไป เขาก็เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
เอเดรียนเอามืออีกข้างวางที่รอยข่วนนั้น เพียงครู่เดียว เขาก็เอามือออก
ข้อมือนั้นก็ไร้บาดแผลใด ๆ…
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวอีกครั้งก่อนจะออกรถอีกครั้ง
###
พิรัณไม่ค่อยฝันร้าย
ครั้งล่าสุดที่เขาฝันร้ายก็คือตอนเห็นรูปคดีฆ่าหั่นศพ แต่นั่นก็ผ่านมา 3 ปีแล้ว ภูมิต้านทานความโหดร้ายชวนคลื่นเหียนอาเจียนก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ จนขนาดที่ว่าถ้าตอนนี้เห็นศพไส้ไหลก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว
แต่ว่าตอนนี้…เขากลับนอนกระสับกระส่าย ใบหน้าของเขาซีดเซียวยิ่งกว่าตอนกลับมาถึงห้องพัก เหงื่อเย็นไหลออกมาตามไรผมและไหลอาบแก้มจนเปียกชุ่ม คิ้วหนาของเขาขมวดเข้าหากันจนแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ ริมฝีปากบางบิดเบี้ยวราวกับกำลังทรมานจากฝันร้าย
“อย่าเข้ามา…” เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบแผ่วเบาอย่างตื่นตระหนก ร่างสูงโปร่งบนเตียงแทบจะชักกระตุกยามเอ่ยคำขับไล่แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหลุดพ้นจากปิศาจแห่งฝัน
ด้วยอยู่ในภวังค์แห่งฝัน พิรัณจึงไม่รับรู้ว่ามีเงาดำเงาหนึ่งกระโดดผลิวมาที่หน้าต่างห้องนอนของเขา ดวงตาสีเหลืองกลมโตมองผ่านกระจกหน้าต่างเข้าไป จึงได้เห็นร่างที่นอนกระสับกระส่ายอย่างน่าสงสาร
‘อุ้งเท้า’ แตะที่ล็อคของหน้าต่างอย่างแผ่วเบา ก่อนที่มันจะขยับปลดล็อคโดยอัตโนมัติแม้ว่าตัวล็อคจะอยู่ข้างในก็ตาม มันใช้อุ้งเท้าข้างเดิมดันหน้าต่างให้เปิดออกเล็กน้อย แล้วร่างเพรียวสีดำก็กระโดดลงมา เท้าทั้งสี่แตะพื้นห้องนอนอย่างไร้สุ้มเสียง
มันก้าวเดินอย่างสง่าไปที่เตียงของเจ้าของห้องก่อนที่มันจะกระโดดขึ้นไปยืนบนเตียงนุ่ม ดวงตาสีเหลืองของมันมองใบหน้าขาวซีดที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วมันก็ทรุดกายลงนั่งข้าง ๆ ร่างของชายหนุ่ม
หน้าขนสีดำเอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดก่อนที่มันจะวางอุ้งเท้าที่หน้าผากชื้นเหงื่อพร้อมกับที่ดวงตากลมโตหรี่ลง
ไม่นานนักร่างที่กระสับกระส่ายก็ค่อย ๆ สงบลง จนในที่สุดลมหายใจหอบกระชั้นก็กลับมาเป็นปกติ เมื่อเห็นดังนั้นสัตว์สี่เท้าผู้บุกรุกก็ชักอุ้งเท้ากลับมา มันยังคงจ้องมองใบหน้าขาวซีดที่เริ่มกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง
ริมฝีปากของมันขยับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่มันจะกระโดดผลิวไปที่หน้าต่าง และหายไปในท้องฟ้ายามราตรีอย่างเงียบกริบเหมือนเช่นยามมาเยือน
To Be Continued…
หนังสือมาแล้ว! ซื้อหนังสือได้ที่นี่ >> https://xeiji.com/product/the-sith-cat-s-charm/