Skip to content

The Sith Cat’s Charm – 3rd Charm : อาจารย์ประจำวิชาเทวตำนาน

  • by

3rd Charm : อาจารย์ประจำวิชาเทวะตำนาน

 

               พิรัณรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง

               แม้ด้วยสายอาชีพจะทำให้เขามีโอกาสได้ไปเยือนสถานที่หลาย ๆ แบบ เริ่มตั้งแต่ชุมชนแออัดไปจนถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ราคาหลักร้อยล้านของนักการเมือง แต่เขาก็ไม่เคยไปเยือนสถานที่ที่ทันทีผ่านประตูไปแล้วเหมือนหลงเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งเหมือนที่นี่

               ‘มหาวิทยาลัยนานาชาติกรุงเทพใหม่’

               มหาวิทยาลัยเอกชนที่เพิ่งก่อตั้งมาได้ไม่ถึง 1 ทศวรรษแต่สามารถผลิตบุคลากรที่มีชื่อเสียงและมีคุณภาพได้คับประเทศ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัย ‘นานาชาติ’ แล้ว…ย่อมหมายถึงค่าเรียนต่อเทอมที่แพงหูฉี่ ว่ากันว่าถึงเลขหลักห้าต่อเทอมด้วยซ้ำไป แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นทำให้ครอบครัวหลายครอบครัวยอมทุ่มเท ใจป้ำส่งลูกหลานเข้าเรียนเพื่ออนาคตที่ดี

               นั่นก็คือ การศึกษาระดับพรีเมี่ยม และสิ่งอำนวยความสะดวกระดับไฮเอนด์

               ตอนแรกชายหนุ่มก็สงสัยว่าจะไฮเอนด์ขนาดไหน พอก้าวเขาไปแล้วก็อดนึกเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยที่ตนจบการศึกษามาไม่ได้ เพราะมันช่าง…ต่างกันราวกับพลิกฝ่ามือ

               พื้นที่พันกว่าไร่ได้รับการจัดสรรอย่างลงตัว ทั้งอาคารเรียนทรงทันสมัย อาคารห้องสมุดขนาดใหญ่ สนามฟุตบอลขนาดกว้าง พื้นที่ร่มรื่นเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ และลานกว้างเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ เรียกได้ว่าออกแบบมาเพื่อให้เหมาะต่อการเรียนรู้ และตอบสนองการใช้งานของนักศึกษาเป็นหลัก

               ส่วนเหล่านักศึกษานั้นก็สมกับคำว่า ‘นานาชาติ’ เพราะมองไปทางไหนก็จะเห็นทั้งหัวดำและหัวทองปะปนกันไป ตอนนี้พิรัณไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมอาจารย์เอเดรียนคนนั้นถึงเลือกมาเป็นอาจารย์สอนที่นี่ และเขาคนนั้นก็คงหัวดีไม่ใช่น้อย เพราะเขาเองก็เคยได้ยินมาว่า การสอบเข้ามาเรียนที่นี่ก็ว่ายากแล้ว แต่การจะมาเป็นอาจารย์ได้นั้นยากยิ่งกว่าหลายสิบเท่า

               ด้วยพื้นที่กว้างขวางและไม่คุ้นเคย ทำให้พิรัณยืนนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนคนหาทางไม่เจอให้ตกเป็นเป้าสายตา เพราะมีไม่กี่คนที่จะขี่มอเตอร์ไซเข้ามาภายในเขตมหาวิทยาลัย แถมยังแต่งตัวไม่ค่อยเข้ากับสถานที่เท่าไหร่ อย่างเช่น เสื้อยืดขาวที่มีกั๊กยีนส์สีซีดสวมทับ กางเกงยีนส์และรองเท้าสีดำ เป็นต้น แต่เขาก็ไม่ใส่ใจกับการตกเป็นเป้าสายตายามเมื่อเข้าสู่โหมดทำงาน

               อย่างเช่นวันนี้เขามาที่นี่ก็เพื่อมาพบกับอาจารย์เอเดรียน อิลูรัส คนนั้น

               “ขอโทษครับ ตึกคณะอักษรศาสตร์ไปทางไหนครับ?” เขาเอ่ยปากถามนักศึกษาชายคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดี

               เด็กหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย “จากวงเวียนเลี้ยวไปทางขวาครับ” เขาตอบพร้อมกับชี้ไปยังวงเวียนใหญ่ที่มีรูปปั้นของชายชราผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง คนที่ไม่รู้ประวัติของมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างนักข่าวหนุ่มก็เดาส่งเดชไปว่าอาจจะเป็นผู้ก่อตั้งสถานศึกษาแห่งนี้ “ที่จริงแล้วผมกำลังจะไปตึกคณะอักษรฯ พอดี เดินไปด้วยกันก็ได้นะครับ” 

               พิรัณนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ขอบคุณครับ” เขาตอบรับ

               “คุณมาทำอะไรที่คณะหรอครับ?” ระหว่างทางที่พวกเขาเดินไปนั้น นักศึกษาหนุ่มก็เริ่มเปิดบทสนทนา อาจจะเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไร ได้แต่นิ่งเงียบราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา

               “ผมมาพบอาจารย์ที่สอนที่นี่” นักข่าวหนุ่มตอบเสียงเรียบโดยไม่หันไปมอง เขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าสายตาของเด็กหนุ่มคนนั้นหันมามองตนครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น

               “อาจารย์คนไหนหรอครับ? เผื่อผมรู้จัก”

               ดวงตาสีดำปรายมองคนช่างถาม ทำเอาคนถามสะดุ้งเล็กน้อย เพราะเหมือนถูกต่อว่าอยู่กลาย ๆ โดยไร้คำพูด “ขอโทษครับ ผมไม่น่าถาม” ใบหน้างอง้ำลงทันที นึกขึ้นได้ว่าคำถามที่ถามไปเมื่อครู่ออกจะจุ้นจ้านไปหน่อยสำหรับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก

               แต่ถึงจะถูกปรามด้วยสายตา ความคิดที่อยากชวนคุยต่อก็ไม่ลดละ “พอดีผมต้องไปหาอาจารย์เหมือนกัน ก็เลยคิดว่า….”

               “เด็กอักษรหรอ?”

               เด็กอักษรหนุ่มยิ้มรับ “ครับ” เขาตอบ “ถึงคณะแล้วล่ะ” ว่าพร้อมกับชี้ไปที่ตึกตรงหน้า ซึ่งเป็นอาคารสูงสามชั้นในสไตล์ไทย-ยุโรป ตัวอาคารเป็นสีขาวขุ่นเล็กน้อย ส่วนหลังคาเป็นสีเทาเข้ม เห็นแล้วชวนให้นึกถึงพระราชวังเก่าแก่ที่มีประวัติมายาวนาน  ชั้นล่างสุดของตึกนั้นเป็นโถงโล่งที่มีนักศึกษาจับกลุ่มกันนั่งคุยกันบ้าง ทำงานกันบ้าง

“ตึกนั้นเป็นอาคารเรียนครับ ส่วนห้องพักอาจารย์จะเป็นตึกที่อยู่ข้างกัน” เขาพูดต่อพลางชี้ไปที่อาคารสูงสามชั้นเช่นเดียวกัน แต่รูปทรงเป็นแบบทันสมัย

               “ขอบคุณมาก” พิรัณพยักหน้าให้ทีหนึ่งก่อนจะเดินตรงไปยังตึกห้องพักอาจารย์ เมื่อเดินไปที่โถงอาคาร เขาก็ตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่มีป้ายตั้งไว้เด่นชัดว่า ‘โปรดแลกบัตรก่อนขึ้นอาคาร’

               พนักงานสาวเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือที่เธอกำลังเล่นเกมอยู่ แต่พอเห็นว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง เธอก็รีบวางมือถือในมือลงและฉีกยิ้มให้ “ไปชั้นไหนคะ?”

               “ชั้นสามครับ” นักข่าวหนุ่มตอบพร้อมกับยื่นใบขับขี่ให้อีกฝ่าย ไม่ใส่ใจสายตาที่ทอดมองเขาอย่างมีความหมาย

               “ชั้นสาม…ภาควิชาภาษาตะวันตกนะคะ? ขอทราบธุระของคุณหน่อยค่ะ” เธอถามต่อขณะเก็บบัตรเข้าช่องใส่บัตร และหยิบบัตร visitor มาถือไว้

               “…”

               “เอ่อ มันเป็นกฎน่ะค่ะที่บุคคลภายนอกต้องแจ้งจุดประสงค์ตอนแลกบัตรทุกครั้ง” หญิงสาวชะงักไปเมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างขุ่นมัวเล็กน้อย เธออุตส่าห์ส่งสายตาให้…แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

               “ผมมาพบอาจารย์เอเดรียน” พิรัณตอบสั้น ๆ ก่อนจะยื่นมือไปรอรับบัตรขึ้นตึกด้วยท่าทีนิ่ง ๆ

               “ค…ค่ะ” แล้วบัตร visitor ก็ถูกวางลงบนมือที่ยื่นมารับก่อนที่เจ้าของมือจะเดินตัวปลิวไปยังลิฟต์ทางซ้ายมือทันที เธอมองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยความรู้สึกเสียดาย

               นักข่าวหนุ่มกดลิฟต์ ระหว่างรอนั้นเขาก็นึกย้อนไปถึงเมื่อวานที่เขาโทรศัพท์ติดต่อไปหาอาจารย์ตาสีทองคนนั้น เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่คนปลายสายจะกดรับ

               Hello, Adrian’s speaking”

            พิรัณจำได้ว่าตอนนั้นเขาชะงักไปเล็กน้อย เพราะเพิ่งระลึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นชาวต่างชาติ “สวัสดีครับ ผมพิรัณ นักข่าวสายอาชญากรรมพิเศษครับ” เขาตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องปาก “เมื่อตอนเช้าเราเจอกันที่สน.พร้อมกับผู้กองอนุศรครับ”

               เอเดรียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะอุทานเบา ๆ “อ๋อ นึกออกแล้ว คุณคุยกับผู้กองต่อจากผมใช่ไหม?” เมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าคนที่โทรมาเป็นคนไทย ก็เปลี่ยนไปพูดภาษาไทยทันที

               “ใช่ครับ พอดีผมได้เบอร์ติดต่อของคุณมาจากผู้กองน่ะครับ ผู้กองเล่าเรื่องที่คุณไปหาเขาให้ผมฟังแล้ว ผมคิดว่ามีบางประเด็นที่อยากขอข้อมูลจากคุณประกอบข่าวคดีฆาตกรรมต่อเนื่องหน่อยน่ะครับ” พิรัณเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม “ไม่แน่ใจว่าคุณสะดวกรึเปล่า?”

               เสียงพูดปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตามมาด้วยเสียงเปิดหน้ากระดาษเบา ๆ “บ่ายจนถึงเย็นวันนี้มีนักศึกษาขอพบกับมีประชุมภาควิชาครับ ส่วนพรุ่งนี้เช้าผมมีสอนพอดี…” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “…ถ้าเป็นพรุ่งนี้ช่วงบ่ายสองได้ไหมครับ?”

               “ไม่มีปัญหาครับ” พิรัณตอบรับหลังจากเช็คดูตารางงานของตัวเองแล้ว “ดูเหมือนคุณจะค่อนข้างยุ่ง ผมไปหาที่คณะก็ได้นะครับ จะได้ไม่ลำบากคุณ”

               “เยี่ยมครับ” เอเดรียนตอบกลับมา น้ำเสียงดูโล่งอกในที “ผมจะอยู่ที่คณะอักษร ตึกอาจารย์ชั้น 3 ห้อง 301/13 นะครับ”

               พวกเขานัดหมายกันเสร็จเรียบร้อยและราบรื่นกว่าที่นักข่าวหนุ่มคิด ตอนแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ เพราะหลาย ๆ คนมักจะไม่ค่อยอยากยุ่งกับคดีฆาตกรรมเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ยังหาตัวคนร้ายไม่เจอ หามูลเหตุจงใจไม่พบแบบนี้

               พอได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีแบบนี้ ก็พลอยทำให้เขาโล่งใจ เพราะมันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

               ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกเหมือนมีใครกำลังมองเขาอยู่จากข้างหลัง พอหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นนักศึกษาหนุ่มคนที่พาเขามาตึกนี้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีอะไรรึเปล่า?”

               “คุณมาหาอาจารย์เอเดรียนหรอครับ?” อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้าง

               ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างจับผิด “คุณแอบฟัง?”

               “ผม…ก็แค่บังเอิญได้ยินน่ะครับ คือผมก็ต้องมาหาอาจารย์ที่ตึกนี้เหมือนกัน พอเดินผ่านก็เลย…”

               พิรัณถอนหายใจยาวอย่างหน่ายใจ เขาเริ่มพอจับเค้าลางอะไรบางอย่างได้จากเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่ไม่ทันได้เอ่ยอะไรต่อ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก พวกเขาขยับตัวไปข้าง ๆ เพื่อให้คนข้างในออกมาก่อน หลังจากนั้นทั้งสองก็ก้าวเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยมไฟฟ้า

               คนอายุมากกว่าเอื้อมมือไปกดลิฟต์เลข 3 ทำให้จังหวะนั้นสายตาของอีกคนได้ทันเห็นสายคล้องคอที่ซ่อนอยู่ในเสื้อยืดสีขาวของอีกฝ่าย  

               นักข่าวสายอาชญากรรมพิเศษหรอ?

            อยู่ดี ๆ เขาก็รู้สึกขนลุกวาบเมื่อนึกถึงคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เป็นข่าวคึกโครมอยู่ในตอนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหนุ่มคนนี้ต้องรู้เรื่องคดีนี้ไม่มากก็น้อย แต่มันก็ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามาพบอาจารย์ฝรั่งคนนั้นทำไม

               พิรัณเห็นสายตาที่จ้องมองสายคล้องคอของเขาก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ “แล้วนายก็บังเอิญไปชั้น 3 เหมือนกัน?” เขาถามพร้อมกับปรายตามองนิ่ง ๆ

               แม้จะไม่มีท่าทีคุกคามใด ๆ แต่นักศึกษาหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากสายตาคู่นั้น เขาทำอะไรไม่นอกจากยิ้มแห้งรับ “บังเอิญจังเลยนะครับ”

               ชายหนุ่มหัวเราะหึในลำคอ อยากจะบอกว่า ‘ไม่เนียนนะ ไปเรียนมาใหม่’ กับอีกฝ่ายเหลือเกิน แต่ถ้าไม่สนิทกันจริง ๆ เขาก็ไม่เอ่ยคำพูดค่อนแคะแบบนี้ออกไป

               แล้วเสียงติ๊งก็ดังขึ้นก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออก พวกเขาก้าวออกมาอยู่ในโถงทางเดินกว้างและสว่างด้วยหลอดไฟนีออน ริมผนังมีรูปปั้นเทพเจ้าขนาดเท่าเองวางอย่างเป็นระเบียบ เหนือรูปปั้นเหล่านั้นเป็นบอร์ดประกาศข่าวสารต่าง ๆ ซึ่งประดับตกแต่งในสไตล์กรีกโรมัน

               เข้ากับคำว่า ‘ภาควิชาภาษาตะวันตก’ ที่ติดหราอยู่เหนือประตูทางเข้าสู่ส่วนห้องพักอาจารย์เป็นอย่างดี

               “รู้สึกว่าห้องอาจารย์เอเดรียนจะอยู่ในสุดเลยนะครับ” นักศึกษาหนุ่มที่ยังไม่ยอมผละจากไปไหนเริ่มต้นเป็นไกด์ “ปกติแล้วห้องพักอาจารย์ 1 ห้องจะมีอาจารย์ 2 ท่าน แต่อาจารย์เอเดรียนเพิ่งมาใหม่ก็เลยอยู่คนเดียวน่ะครับ”

               พิรัณฟังหูซ้ายทะลุหูขวาขณะเดินตรงไปยังประตูทางเข้า ผลักมันให้เปิดออกด้วยมือขวาก่อนที่จะได้เจอกับอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ และห้องพักเรียงรายตามทางเดินที่เดินเลี้ยวไปได้ทั้งซ้ายและขวา ประตูห้องทุกบานเป็นประตูกระจกใสแบบบานเลื่อน และมีแถบคาดสีขาวขุ่นเป็นเส้น ๆ ทำให้มองเห็นภายในห้องไม่ค่อยชัดนัก แต่ก็พอเห็นเงาเคลื่อนไหวไปมาภายในห้องได้

               นักข่าวหนุ่มมองซ้ายทีขวาทีอย่างไม่แน่ใจว่าควรเดินไปทางไหน แต่เขาก็ไม่ต้องยืนงงอยู่นาน เพราะมีคนบอกทางให้เสร็จสรรพ “ห้องของอาจารย์เอเดรียนไปทางซ้ายแล้วก็เดินไปสุดทางครับ” นักศึกษาคนเดิมชี้ไปทางซ้ายพร้อมกับยิ้มกว้าง

               พิรัณหรี่ตามองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ ครู่หนึ่ง “ขอบคุณ” เขาเอ่ยก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาดึงเอาบัตรนักข่าวออกมาจากในเสื้อ และยกขึ้นในระดับสายตา “คุณน่าจะรู้แล้วว่าผมเป็นนักข่าวอาชญากรรมพิเศษ และผมมาที่นี่เพื่อทำงาน นั่นหมายความว่าก่อนที่ข่าวอะไรจะออกไป ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างแน่ชัดก่อน”

               ดวงตาสีดำคมกริบมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่รอยยิ้มค่อย ๆ หุบลงช้า ๆ จนเริ่มเห็นสีหน้าสำนึกผิด พอเห็นแบบนั้นเขาก็อดถอนหายใจไม่ได้ “เพราะฉะนั้นคุณควรไปพบอาจารย์ได้แล้ว หรือถ้าคุณนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์นัดวันอื่น ก็ค่อยมาอีกทีก็ได้”

               ฟังเผิน ๆ เหมือนไม่ได้ต่อว่า แต่เนื้อหานั้นเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าเลิกตามเขาได้แล้ว

นักศึกษาชายหน้าหงอยไปถนัดตา แต่พิรัณก็ไม่ได้สนใจจะเข้าไปปลอบ เพราะตอนนี้ใกล้ถึงเวลานัดเต็มทีแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไร

บางทีเขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ามีอะไรให้ดึงดูดเพศเดียวกันนัก คราวก่อนตอนไปสัมภาษณ์ญาติของผู้เสียหายในคดีวิ่งราว ก็โดนจีบซึ่ง ๆ หน้า หรืออย่างตอนไปร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยการสืบสวนของตำรวจ ก็โดนนักข่าวสายไอทีจากอีกสื่อหนึ่งปะเลาะเอา

แต่คนพวกนั้นก็ทำไม่สำเร็จ เพราะสิ่งที่เขามอบกลับไปให้นั้นคือสีหน้าราบเรียบ และการบอกปฏิเสธกลาย ๆ

พิรัณไม่ได้รังเกียจเกย์ เพียงแต่เขารู้ตัวดีว่าไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น จึงตัดไฟเสียแต่ต้นลม

               แต่ถ้าถามว่ามีผู้หญิงเข้าหาเขาบ้างไหมนั้น ก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก เพราะด้วยสายงานที่ทำไม่ค่อยได้เจอเพศตรงข้ามเท่าไหร่อยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเขาเข้าหาผู้หญิงนั้น…ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะทำงานแทบจะถวายหัวให้บก.อยู่ทุกวี่วันแบบนี้ ก็ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว

               นักข่าวหนุ่มเหลือบมองไปข้างหลัง ก็ได้เห็นว่านักศึกษาชายคนนั้นเดินกลับออกไปแล้ว ดูท่าที่เขาบอกว่ามาพบอาจารย์ที่ชั้น 3 ก็คงปั้นน้ำขึ้นมา

               “เด็กสมัยนี้นี่นะ…” เขาได้ส่ายหน้าอย่างระอาใจ ดวงตาสีดำไล่มองเลขที่ติดอยู่หน้าห้องไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจอห้องหมายเลข 301/13 ซึ่งเป็นห้องสุดท้ายของทางเดินตามที่เด็กคนนั้นบอก

               เขาชะเง้อมองเงาในห้อง และได้เห็นว่าคนที่เขามาพบนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ใบหน้าของอีกฝ่ายก้มลงขณะที่มือกำลังตรวจงานของนักศึกษา พิรัณยกมือขึ้นเคาะประตูเบา ๆ สองครั้ง

               “เชิญครับ” เสียงห้าวจากข้างในเอื้อนเอ่ยเชื้อเชิญ นักข่าวหนุ่มจึงเลื่อนบานประตูไปทางขวา

               “สวัสดีครับคุณพิรัณ” อาจารย์หนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพับแขนถึงข้อศอกวางมือจากงานที่ทำอยู่ก่อนจะลุกขึ้นยืนต้อนรับ มือขวาผายมือไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “เชิญนั่งก่อนครับ”

               “สวัสดีครับ” พิรัณตอบกลับขณะทรุดกายลงนั่งตามคำเชื้อเชิญ เขามองกองงานบนโต๊ะของอีกฝ่ายแล้วเริ่มรู้สึกลังเล

               เอเดรียนที่นั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเองทันเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายพอดี “ไม่ได้ยุ่งอย่างที่คุณคิดหรอก ผมก็แค่ตรวจงานของนักศึกษาไปเรื่อย ๆ ฆ่าเวลาระหว่างรอคุณน่ะครับ” เขาปฏิเสธก่อนจะเท้าแขนทั้งสองข้างกับโต๊ะ ดวงตาสีทองเปื้อนยิ้มอารมณ์ดีใต้กรอบแว่นปรายมองใบหน้าของผู้มาเยือน “คุณเองก็เป็นนักข่าว น่าจะงานยุ่งกว่าผมนะ”

               เมื่อถูกพูดถึงอาชีพ พิรัณก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาหยิบเอานามบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์ก่อนจะยื่นมันให้อีกฝ่าย “นามบัตรของผมครับ คราวก่อนผมไม่ทันได้ทักทายคุณเลยขอถือโอกาสนี้ก่อนผมขอสอบถามข้อมูลจากคุณก็แล้วกัน”

               อาจารย์หนุ่มรับนามบัตรมา และเพ่งมองตัวหนังสือภาษาไทยบนนั้น คิ้วเรียวบนใบหน้าขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เอ่อ…พิรัณ โยธา…ทิวัฒน์?” เขาอ่านออกเสียงกระท่อนกระแท่นก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของชื่อ “ผมเรียกถูกรึเปล่าครับ?”

พิรัณพยักหน้ารับ “คุณอ่านภาษาไทยคล่องเหมือนกันนะ” เขาตั้งข้อสังเกต

               “ฝึกเอาน่ะครับ ไม่งั้นอยู่ยาก” อีกฝ่ายระบายยิ้มจาง ๆ ให้ “ยิ่งเป็นอาจารย์มหาลัยด้วยแล้ว ถ้าพูดภาษาไทยได้ พวกนักศึกษาจะได้ไม่เกร็งเวลามาคุยกับผม”

               นักข่าวหนุ่มพยักหน้าอีกครั้งเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้เมื่อเหลือบไปเป็นหนังสือปกสีดำที่มีตัวอักษรสีเหลือง ‘Mythology’ อยู่เด่นหรา “จะว่าไปแล้ว วิชาที่คุณสอนนี่…” เขาเว้นจังหวะ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “…ขอโทษด้วยครับ เป็นวิชายังไงหรอ?”

               “อ๋อ Mythology น่ะหรอครับ?”

               พิรัณเงยหน้ามองอีกฝ่ายตรง ๆ “ผมแค่อยากทำความเข้าใจน่ะครับ เพราะทั้งผู้กองอนุศรและบก.ต่างก็คะยั้นคะยอให้ผมมาคุยกับคุณเพื่อขอข้อมูลประกอบข่าว” เขาว่าตามตรงก่อนจะทำท่าผายมือไปทางหนังสือเล่มนั้น “แต่ก่อนที่ผมจะลงมือเขียนอะไร ผมก็อยากทำให้ตัวเองแน่ใจก่อนว่าเข้าใจเรื่องที่เขียนไปอย่างถ่องแท้”

               “น่าชื่นชมนะครับที่มีนักข่าวแบบคุณ”

               “เขียนอะไรไปก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เขียนต่อผู้อ่าน ผมถูกสอนแบบนี้มาตลอด” นักข่าวหนุ่มตอบพร้อมกับนั่งหลังตรง สายตาของเขามองอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมาและจริงจัง

               เอเดรียนยิ้มรับให้กับความจริงจังของอีกฝ่าย เมื่อครั้งแรกที่เขาพบอีกฝ่ายโดยบังเอิญทำให้เขาไม่ทันได้พิจารณาชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาสีดำของนักข่าวคนนี้คมกริบ บ่งบอกความเฉลียวฉลาดของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ยิ่งมีสายตาที่แน่วแน่ ทำให้เขาเกือบดูเหมือนเป็นคนจริงจังที่หัวดื้อพอตัว และอีกอย่างที่เขาสังเกตเห็นก็คือ ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ อีกฝ่ายยังไม่ยิ้มเลยสักนิด

               ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มดูเย็นชาและเข้าถึงยาก

               แต่คำพูดเมื่อครู่ที่เอ่ยมาออกมานั้น เอเดรียนจึงแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเย็นชาอย่างที่เห็นจากเปลือกนอก

               “ผมดีใจนะครับที่จะช่วยให้คุณได้ข้อมูลที่แม่นยำและตรงประเด็น” เขาว่า จ้องมองดวงตาสีดำกลับตรง ๆ เช่นกัน “แต่ผมไม่แน่ใจว่าวิชาที่ผมสอนจะช่วยให้ข้อมูลเรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องกับคุณในแง่ไหน”

               พิรัณรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะสงสัยในเรื่องนี้ เขาจึงเตรียมคำตอบมาไว้แล้ว “มันเกี่ยวกับสิ่งที่คุณสังเกตได้จากรูปถ่ายในที่เกิดเหตุน่ะครับ” เขาตอบพร้อมกับเท้าแขนกับพนักเก้าอี้ “นั่นก็คือ ‘เงา’ ครับ”

               อาจารย์หนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ “คุณก็เห็นหรอครับ?”

               “ครับ” อีกฝ่ายว่าก่อนจะหรี่ตามอง “เพราะว่าผมทำข่าวคดีนี้มาตั้งแต่แรก ผมจึงได้ทันสังเกต ไม่นึกว่ามีคนอื่นที่ติดตามข่าวนี้มานานจนสังเกตเห็นเหมือนกัน”

               เอเดรียนหัวเราะในลำคอเบา ๆ “คุณทำเหมือนสงสัยผมอยู่เลยนะ” เขาพูดทีเล่นทีจริงโดยที่รอยยิ้มยังไม่หายไปจากใบหน้า

               “ผมเปล่าสงสัยคุณ” ชายหนุ่มอีกคนรีบอธิบาย แต่น้ำเสียงยังคงราบเรียบเช่นเดิม “เพียงแต่ในยุคที่อาชญากรรมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดแบบนี้ โดยเฉพาะคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ไม่ค่อยมีใครอยากเอาตัวมายุ่งเท่าไหร่ เพราะกลัวโดนลูกหลง ดังนั้นพอเห็นคุณช่างสังเกตแบบนี้ แล้วก็ยังให้ความร่วมมือดีแบบนี้ด้วย…ผมก็เลยอดประหลาดใจไม่ได้”

               “ถ้าอะไรที่จะช่วยปิดคดีนี้ได้เร็วที่สุด ผมก็พร้อมช่วยเต็มที่อยู่แล้วครับ ทุกคนจะได้ไม่ต้องคอยพะวงหลังตอนกลางคืนอีกแล้ว”

               พิรัณยังคงมองใบหน้าอีกฝ่าย ดวงตาสีทองใต้กรอบแว่นนั้นโค้งเล็กน้อยเพราะเจ้าตัวกำลังระบายยิ้มกว้าง พอเห็นสีหน้าระรื่นแบบนั้นเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ และโยนความรู้สึกตงิดใจที่เคยมีไว้ข้าง ๆ ก่อน “ได้ยินแบบนั้นผมก็ดีใจครับ” เขาว่าอย่างเสียไม่ได้ “แต่สิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่เงาแปลก ๆ ที่ไม่มีรูปร่าง…” เขาหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมา และสิ่งที่เขาหยิบออกมานั้นก็คือ ภาพถ่ายจากที่เกิดเหตุทั้งหมดในคดีนี้

               นักข่าวหนุ่มกระจายภาพบนโต๊ะให้เรียงต่อกัน “…ผมเห็นเป็น ‘เงาแมว’ ครับ” เขาว่าต่อพร้อมกับลากนิ้วเป็นวงกลมที่บริเวณมุมของภาพทั้งสาม สายตาหลุบมองแวบหนึ่ง ทำให้เขาไม่ทันได้เห็นว่าอีกฝ่ายชะงักไป แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะใบหน้าคมคายโน้มลงมาพิจารณารูปถ่ายในระยะใกล้

               พิรัณเหลือบตามองก่อนจะเอนตัวกลับไปพิงพนักเก้าอี้ตามเดิม “ผมยังไม่แน่ใจว่า ‘มัน’ เกี่ยวข้องกับคดีรึเปล่า เพียงแต่ว่าไม่น่าจะบังเอิญถึงขนาดมีเงาแมวติดมาในรูปทั้ง 3 ครั้ง” เขาพูดความคิดของตัวเองต่อขณะยกมือสองข้างขึ้นกอดอก

“แต่มันก็เพียงพอที่จะเขียนบทความพิเศษเรื่องความเชื่อและตำนานของแมวได้ แต่ถ้าข้อมูลพื้น ๆ อย่างตำนานแมวทั่วไปที่หาได้ตามอินเตอร์เน็ตมันก็คงไม่น่าสนใจมากพอ และเท่าที่ผมรู้มา มีคนไม่น้อยเลยที่สนใจเรื่องเทพเจ้ากรีก-โรมัน ดังนั้นถ้าอ้างอิงเรื่องนี้ได้ มันก็เป็นเรื่องดี”

               เอเดรียนพิจารณารูปทั้ง 3 อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้เช่นกัน “เป็นหัวข้อที่น่าสนใจนะครับ” เขาขยับยิ้มเล็กน้อย “แต่ท่าทางของคุณดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อเรื่องตำนานเท่าไหร่เลย”

               “ผมเชื่อหรือไม่เชื่อตอนนี้มันไม่สำคัญหรอกครับ เพราะหน้าที่ของผมคือการมาขอข้อมูลจากคุณเพื่อนำไปประกอบบทความพิเศษ…ก็เท่านั้นเอง” นักข่าวหนุ่มตอบตรงไปตรงมา “ผมคงไม่ตัดสินหรอกว่าจริงหรือไม่จริง ผมก็แค่นำเสนอสิ่งที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจโดยไม่ได้บิดเบือนความจริง”

               หรือก็คือ ‘ไม่เชื่อ’ สินะ เอเดรียนจับความหมายที่แฝงมากับคำตอบนั้นได้ แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มก็ยังไม่หายไปจากใบหน้า “ผมยินดีให้ความช่วยเหลืออยู่แล้วครับ เพียงแต่…” สายตาเหลือบไปมองรูปถ่ายอีกครั้ง “…ผมไม่แน่ใจว่าจะข้อมูลที่ผมให้คุณได้จะเอาไปใช้ในบทความได้มากแค่ไหน”

“ไม่เป็นไรครับ จะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้เราก็จะได้รู้หลังจากที่เราคุยกันเสร็จ”

อาจารย์หนุ่มอดหัวเราะในใจกับความจริงจังของนักข่าวตรงหน้าไม่ได้ เขาส่ายหน้าเบา ๆ อย่างยอมจำนนในความดื้อรั้นของอีกฝ่าย “เขาคุณรู้จักตำนานเทพปกรณัมกรีก-โรมันไหม?” เขาเริ่มถามพร้อมกับประสานมือไว้ที่ตัก

               “ครับ”

               “สิ่งที่ผมสอนเกี่ยวพันกับเรื่องนั้นครับ แต่ไม่ได้จบอยู่แค่ที่ว่าเทพเจ้าแต่ละองค์คือใคร เพราะความจริงแล้วเราลงลึกไปมากกว่านั้น” เอเดรียนว่าต่อ “เทพปรณัมปรัมปราจะทำให้เรารู้ว่ามนุษย์คิดหรือรู้สึกอย่างไรในยุคโบราณ พวกเขาล้วนเคยอาศัยใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทั้งผืนดิน ต้นไม้ใบหญ้า และท้องทะเล เรื่องราวต่าง ๆ จึงถูกสร้างขึ้นมาจากจินตนาการ และแล้วเทพปกรณัมก็ถือกำเนิดขึ้น

               “คุณอาจรู้จักเทพซุส โพไซดอน และฮาเดส แต่ ‘อะไร’ กันล่ะที่ทำให้เกิดภาพของเทพเหล่านั้นขึ้นมาได้ นั่นล่ะครับ คือสิ่งที่ผมสอน”

               น้ำเสียงทุ้มของเขาราวกับกำลังสอนนักศึกษาคนหนึ่ง โทนเสียงขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะ ชวนให้ฟังได้ทั้งวันโดยไม่นึกเบื่อ ถ้าหากหลับตาฟังแล้ว คงไม่คิดว่าเจ้าของคำอธิบายเหล่านี้เป็นคนต่างชาติอย่างแน่นอน และระหว่างการบรรยายนั้น พิรัณก็ไม่ได้หลบสายตาอีกฝ่ายแต่อย่างใด

               เพราะอย่างนั้นเขาจึงมีโอกาสได้พิจารณาคนตรงหน้าชัด ๆ เอเดรียนเป็นผู้ชายยุโรปขนานแท้แม้จะแปลกตาเล็กน้อยที่มีเรือนผมสีดำ รูปร่างสูงกำยำ โครงหน้าชัดเจนและเครื่องหน้าก็ครบครัน โหนกแก้มเด่นชัด จมูกโด่งเป็นสันตามแบบฉบับคนยุโรป คิ้วเรียวและริมฝีปากบางที่แย้มยิ้มตลอดเวลานั้นช่วยลดความดุดันของใบหน้าลงได้ ส่วนดวงตาสีทองใต้กรอบแว่นก็เป็นประกาย ชวนให้คนมองรู้สึกสบายใจที่ได้คุยด้วย

               แต่ไม่ว่าอย่างไร พิรัณก็ไม่อาจสลัดแววตาแปลก ๆ ที่เขาเห็นครั้งแรกได้เลย มันทำให้เขาอดจะอึดอัดไม่ได้ทุกครั้ง แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบหลบตาใครเวลาคุย ทำให้เขาได้แต่ทนความอึดอัดนั้น

               “แล้วถ้าผมพูดถึงเรื่อง ‘แมว’ คุณจะนึกถึงอะไรตามวิชาที่คุณสอนครับ?” นักข่าวหนุ่มถามต่อ เข้าเรื่องอย่างไม่รอช้า มือข้างหนึ่งหยิบจับปากกาและสมุดจดเตรียมพร้อมแล้วเรียบร้อย ส่วนอีกข้างถือเครื่องอัดเสียงพร้อมอัด 

                เอเดรียนขยับท่าทางเล็กน้อย “ ‘เทพีเฮคาที’ ครับ คุณเคยได้ยินชื่อเทพีองค์นี้ไหม?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว พอเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าเบา ๆ ก็อธิบายต่อด้วยเสียงทุ้มลึก “ในอารยธรรมโบราณ โดยเฉพาะในอารยธรรมกรีก แต่เดิมทีแมวไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบเท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันถูกคิดว่ามีความเกี่ยวข้องกับตำนานของเทพีเฮคาที ผู้ถูกขนานนามว่าเป็นเทพีแห่งความตาย เวทมนต์ ไสยศาสตร์ และทางแยก เพราะนางเป็นเทพีที่เฝ้าทางเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์ โลก และนรกใต้พิภพ…มาถึงตรงนี้ตามทันไหมครับ?”

               พิรัณพยักหน้ารับโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองในขณะที่มือจดเป็นระวิง

               “ความจริงแล้วเทพีเฮคาทีมักจะเกี่ยวข้องกับสุนัขมากกว่า แต่ก็มีตำนานหนึ่งที่กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างเทพีองค์นี้กับแมว” ชายหนุ่มขยับแว่นเล็กน้อย “นั่นก็คือเรื่องราวของ ‘เฮราคลีส’ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘เฮอร์คิวลีส’ ครับ โดยเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ ‘กาเลนธิอุส’ ข้ารับใช้เจ้าหญิงแอลก์มินี ผู้เป็นมารดาของเฮราคลีส”

               เอเดรียนหยุดพูดครู่หนึ่งราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เขาคว้าปากกากับกระดาษบนโต๊ะมาเขียนชื่อที่เขาเพิ่งเอ่ยไปให้กับอีกฝ่าย “แอลก์มินีถูกเทพซุสล่อลวงจนมีสัมพันธ์กัน และในที่สุดนางก็ตั้งครรภ์” เขาอธิบายต่อ “และอย่างที่เรารู้ว่าเทพีเฮร่าเป็นเทพีที่หึงหวงมาก นางจึงพยายามสังหารแอลก์มินีเพื่อไม่ให้นางให้กำเนิดบุตร แต่ว่ากาเลนธิอุสกลับขวัดขวางแผนการของเฮร่าไว้ได้ เฮราคลีสจึงถือกำเนิดขึ้นมา ทำให้เฮร่าโมโหมาก จึงเปลี่ยนร่างของกาเลนธิอุสให้กลายเป็นแมว และส่งนางไปยังปรโลก”

               นักข่าวหนุ่มชะงักไป “หรือว่าพอถูกส่งไปนรกก็เลยถูกคิดว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายหรอ?”

               “ประมาณนั้นครับ” เอเดรียนระบายยิ้มเล็กน้อย “ตามตำนานว่ากันว่าเฮคาทีสงสารชะตากรรมของกาเลนธิอุส จึงตัดสินใจเก็บกาเลนธิอุสในร่างแมวไว้ข้างกาย…และหลังจากนั้นแมวจึงถูกเล่าขานว่าเกี่ยวข้องกับความตาย การกลายร่าง โลกใต้พิภพ และเวทมนต์”

               พิรัณทำเสียงงึมงำรับในลำคอ มือขวาที่เขียนยุกยิกอยู่นั้นชะงักเมื่อนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ “จำได้ว่าช่วงต้นค.ศ.ที่ 13 มีแมวถูกฆ่าเยอะเลยด้วยความเชื่อแบบนี้” เขาขมวดคิ้ว “ไหนจะอิทธิพลของศาสนจักรอีก ผมจำได้ว่าในยุคล่าแม่มด ไม่ใช่แค่ผู้หญิงจำนวนมากที่ถูกคิดว่าเป็นแม่มดแล้วถูกจับเผาทั้งเป็น พวกแมวก็โดนฆ่าไปเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะแมวดำ”

               เอเดรียนชะงักไปเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ย ดวงตาสีทองหลังกรอบแว่นประกายวาวโรจน์ขึ้นมา แต่เพียงแค่ชั่วแวบเดียวนั้นมันก็หายไปโดยที่คนก้มหน้าก้มตาเขียนยุกยิกไม่ทันได้สังเกต เขาพ่นลมหายใจยาวเมื่อสงบอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจ “ถ้าพวกมันไม่ถูกพาตัวไปที่ยุโรปก็คงจะดี” เขาพึมพำเสียงเบา คิดเพียงจะรำพึงกับตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายโพล่งขึ้นถามทันที

               “หมายความว่าไงครับ?”

               อาจารย์หนุ่มชะงักไป เพราะนึกไม่ถึงว่านักข่าวคนนี้สามารถแยกประสาทหูกับประสาทสัมผัสที่มือได้ดีขนาดนี้ ตอนแรกเขาคิดจะปฏิเสธไป แต่สายตามุ่งมั่นนั้นก็ทำให้เขาต้องทอดถอนใจ “ว่ากันว่าพวกแมวถูกพ่อค้าชาวฟีนีเชียนแอบลักลอบพาพวกมันออกมาจากอียิปต์ และพวกฟีนีเชียนก็ชอบทำการค้ากับดินแดนอารยธรรมต่าง ๆ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่พวกเขาจะพาแมวมาจนถึงทวีปยุโรป”

               “ชาวฟีนีเชียน…”

               “กลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาตั้งหลักแหล่งแถวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตั้งแต่หลายพันปีก่อนคริสตกาลน่ะครับ” เอเดรียนตอบข้อสงสัยเมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่จินตนาการล้ำลึกครับ นานวันเข้าก็เกิดจินตนาการมากมายเกี่ยวกับแมว เรื่องราวต่าง ๆ ถูกเขียนและเชื่อมโยงกับเทพปกรณัมอย่างที่ผมเล่าให้ฟัง” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะเปิดแล็ปท็อปบนโต๊ะ

               “แต่ในขณะเดียวกัน ชาวโรมันกลับให้ความสำคัญกับแมวมาก” เขาว่าต่อพร้อมกับหมุนแล็ปท็อปที่เปิดภาพรูปปั้นเทพีองค์หนึ่งให้อีกฝ่ายดู “พวกเขามองว่าแมวเป็นตัวแทนของความรักอิสระ และไม่อยู่ในการปกครองของใคร และในวิหารของเทพีลิเบอตัสซึ่งเป็นเทพีแห่งเสรีภาพ ก็มีแมวหมอบอยู่แทบเท้าครับ”

               “เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนมองแล้วว่า เงาของ ‘แมว’ ที่เห็นในรูปที่เกิดเหตุ เป็นลางดีหรือลางร้าย” พิรัณพึมพำเบา ๆ ขณะมองรูปในหน้าจอ ครู่หนึ่งก็ก้มลงเขียนบางอย่างลงในสมุดจดต่อ

               อาจารย์หนุ่มประสานมือวางบนโต๊ะ ริมฝีปากระบายยิ้มจาง ๆ เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของอีกฝ่าย สักพักเขาก็ปล่อยให้แขกนั่งขีด ๆ เขียน ๆ ไป ส่วนตัวเขาก็เดินไปรินน้ำเย็นให้ “พอจะเอาไปใช้ได้ไหมครับ?” เขาถามขณะที่วางแก้วลงตรงหน้า

               “ขอบคุณครับ” พิรัณพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณก่อนที่เขาจะหยิบแก้วขึ้นมาจิบ “ใช้ได้ครับ ขอบคุณที่สละเวลานะครับ”

               “ถ้าต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็โทรมาได้ตลอดเลยนะครับ” เอเดรียนพูดขณะที่เดินอ้อมไปหลังโต๊ะ และเปิดลิ้นชัก ส่วนนักข่าวหนุ่มนั้นก็เก็บปากกาและสมุดจดเข้ากระเป๋า เตรียมพร้อมบอกลาอีกฝ่าย

               “ขอบคุณครับ แต่ผมคิดว่าถ้าเป็นส่งข้อความหาคุณน่าจะดีกว่า เผื่อว่าคุณมีสอนหรือว่าประชุมอยู่จะได้ไม่รบกวน” พิรัณพูดพร้อมกับหยิบมือถือออกมา “คุณสะดวกไลน์ไหม?”

               “ไม่มีครับ”

               คนถามเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “วีแชทล่ะครับ?”

               “ไม่มีครับ”

               “แล้ววอทส์แอพล่ะ?”

               เอเดรียนส่ายหน้า

               อีกฝ่ายกะพริบตาปริบ “เอ่อ หรือว่าสไกป์?”

               ริมฝีปากบางขยับยิ้มจาง ๆ ให้กับสีหน้าประหลาดใจนั่นก่อนจะหยิบมือถือของตนออกมาจากลิ้นชัก “ผมใช้มือถือเครื่องนี้น่ะครับ” ว่าแล้วก็ยื่นให้คนตรงหน้าดู

               พิรัณจ้องมือถือเครื่องนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

               Nokia 3310 …

               สมัยนี้ยังมีคนใช้มือถือรุ่นปาหัวหมาแตกอยู่ด้วยหรอ?

            “ผมไม่ค่อยถนัดเทคโนโลยีน่ะครับ ก็เลยเลือกเครื่องที่ใช้ง่าย ๆ โทรเข้ารับสายส่งข้อความปกติก็พอ” เอเดรียนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะชักมือกลับมา และกดดูรายชื่อโทรเข้า “เบอร์ของคุณลงท้ายด้วย 1869 นี่ใช่ไหม?”

               นักข่าวตั้งสติได้ทัน นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ออกจะเสียมารยาทไปหน่อย “เอ่อ ใช่ครับ” เขาพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่าถ้าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนผมจะส่ง SMS หรือเมล์มาหาก็แล้วกันนะครับ ผมจำได้ว่าในนามบัตรของคุณมีอีเมล์ระบุไว้”

               “ไม่มีปัญหาครับ”

               “ถ้าอย่างนั้นผมไม่กวนคุณแล้วล่ะ วันนี้ขอบคุณมากครับ” พิรัณว่าพร้อมกับลุกขึ้นยืน ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็เดินมาเปิดประตูห้องพักอาจารย์ให้ แขกผู้มาเยือนก้มหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณก่อนที่เขาจะก้าวออกไป

               ดวงตาสีทองหลังกรอบแว่นมองตามแผ่นหลังของผู้มาเยือนจนกระทั่งหายลับไปที่ทางเลี้ยว แต่เขาก็ยังไม่ขยับไปไหน จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในห้องพัก ถอดแว่นตาที่สวมอยู่ออกมาเช็ดเลนส์อย่างเชื่องช้า 

              

               “แต่สิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่เงาแปลก ๆ ที่ไม่มีรูปร่าง…”

 

               เอเดรียนถอนหายใจยาวก่อนจะวางแว่นตาที่เช็ดจนสะอาดเอี่ยมลงบนโต๊ะ

 

                “ผมเห็นเป็น ‘เงาแมว’ ครับ”

 

                เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามบ่ายแก่ แสงแดดส่องผ่านกระจกเข้ามาภายในห้องพักอาจารย์และกระทบกับร่างสูงกำยำ ประกายในดวงตาสีทองพลันเปลี่ยนแปลงพร้อมกับที่รูม่านตาหดจนเรียวแหลม

 

To Be Continued…

รูปเล่มมาแล้ว!

 

สั่งซื้อหนังสือได้ที่นี่ >> https://xeiji.com/product/the-sith-cat-s-charm/

The Sith Cat's Charm